กลูต้าไธโอน (Glutathione)
คืออะไร สารกลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดละลายน้ำได้ที่ลำคัญ ซึ่งร่างกายสร้างขึ้น มีพลังในการต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระ มากที่สุดตลอดจนเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี
และวิตามินอี และทำให้อยู่ในรูปที่ดูดซึมได้เร็วขึ้น ช่วยให้วิตามินชีและวิตามินอี มีส่วนขจัดอนุมูลอิสระได้อย่างสมบูรณ์ และป้องกันไม่ให้วิตามินทั้งสองเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นอนุมูลอิสระด้วย และเป็นพื้นฐานสำาหรับสารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อ กูลตาไธโอนเปอร์ออกชิเดส
กลูตาไธโอนมีอยู่เกือบทุกเชลล์ร่างกายของมนุษย์ เป็นสารประกอบอินทรีย์ เปปไตด์ ที่ประกอบด้วย กรดอะมีโน 3 ชนิดคีอ แอลิ กลูตามีน ,แอล-ไกลซีน และแอล-ซิสเตอีน
คุณประโยชน์
สารกลูตาไธโอนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ มีการศึกษาติดตามผลการกินสารชนิดเป็นอาหารเสริมเป็นเวลาหลายปี ว่ามีผลอย่างไรบ้าง
นักชีววิทยาด้านเชลล์หลายคน เชื่อว่ากลูตาไธโอนถูกย่อยสลายให้เป็นส่วนประกอบย่อยที่มีคุณสมบัติป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกชิเจน (ออกชิเดซัน) ในระหว่างการย่อยสลาย
แต่กลูตาไธโอนในรูปที่ยังไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนนี้ เมื่อทำงานร่วมกับสารแอนไธไชยานิดีนส์ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งได้มาจากพืชผัก เช่น จากผลแบลคเคอเร้นทและหัวบีทรูตแล้ว ปรากฏว่าร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายและเป็นประโยชน์ในทางการรักษาโรค
การทำงานร่วมกับอาหารเสริมอัลฟาไลโปอิคแอซิด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพของกลูตาไธโอนดีขึ้น
นายแพทย์โสรามสิงห์ คาลชา ที่ใช้กลูตาไธโอนในการบาบัดรักษาทางโภชนาการในเบเวอร์ลี่ฮิลส์ มลรัฐแคลิฟอร์เนียยืนยันว่า กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญของร่างกาย โดยทำการวัดความเข้มข้นของกลูตาไธโอนและไขมันที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนแล้ว (ซึงบ่งบอกว่ามีการทำลาย
ของอนุมูลอิสระ) ในผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะร้ายแรง อื่น ๆ
เมื่อกลูตาไธโอนอยู่ในระดับต่ำและไขมันที่ทำปฏิกิริยากับออกชิเจนอยู่ในระดับสูง จะเป็นสัญญาณที่แสดงว่าผู้ป่วยรายนั้นต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ
นายแพทย์คาลซา จึงให้ผู้ป่วยกินกลูตาไธโอนแล้วตรวจสอบระดับกลูตาไธโอนในเลือดอีกครั้ง และพบว่าระดับกลูตาไธโอนที่ต่ำลงนั้น กลับขึ้นมาสู่ค่าปกติ
ปกติแล้วหลังจากที่สารต้านอนุมูลอิสระชนิดใดชนิด เช่น กลูตาไธโอน ไปทำลายอนุมูลอิสระแล้ว ตัวมันเองก็จะปฏิกิริยากับออกชิเจน แต่จากการศึกษาในเยอรมันหลายครั้งพบว่าสารแอนโธไชยานิดีนส์์ช่วยเปลี่ยนกลูตาไธโอนที่ปฏิกิริยากับออกซีเจนแล้วให้กลับเป็นกลูตาไธโอนในรูปที่ยังได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้อีกดังนั้นการรักษาระดับของกลูตาไธโอนให้มีปริมาณเพียงพออาจช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์จากสารอนุมูลอิสระ ขจัดของเสีย ชะล้างสารพิษในร่างกายและเพิ่มความต้านทานโรคได้ เช่นกัน
ในปี ค.ศ.1998 นายแพทย์ พอลสเทิร์นเบิร์กจูเนียร์ มหาวิทยาลัยอีมอรี พบว่าผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาของดวงตาเสื่อมกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีระดับกลูตาไธโอนที่ทำปฏิกิริยากับออกซีเจนแล้วในเลือดสูงและมีระดับกลูตาไธโอนในรูปที่ยังไม่ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนต่ำ เป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับการศึกษาของนายแพทย์คาลชา
ส่วนผู้ที่มีอายุน้อยและมีสุขภาพดีกว่า จะมีระดับกลูตาไธโอนที่ยังไม่ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนสูงกว่าและมีระดับกลูตาไธโอนที่ทำปฏิกิริยากับออกชิเจนแล้วต่ำกว่า
นักวิทยาศาลตร์พบว่า กลูตาไธโอนทำงานร่วมกับเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน เมื่อร่างกายได้รับ Tyrosinaseในปริมาณที่เหมาะสมจะควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้ผิหน้า ผิวหนัง สวยขาวใส ไร้รอยด่างดำ จึงมีผู้ผลิตเครื่องสำอางนำไปใช้ทาริมฝีปากและผิวบริเวณหัวนม ให้มีสขาวอมชมพูขึ้น
และมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดแคปชูลหรือชนิดเม็ดสำหรับกินเพื่อหวังผลให้ผิวขาวลดใส ชะลอความเสื่อมของเซลล์และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระกำจัดสารพิษในร่างกายออกไปโดยมักจะผสมรวมกับสารอาหารเสริมชนิดอื่นราคาค่อนข้างแพง
นอกจากนี้กลูตาไธโอนยังมีคุณสมบัติเป็นสารขับพิษ(Detoxification) เปลี่ยนสารพิษให้อยู่รูปทีไม่เป็นพิษ ล้างพิษและขจัดของเสีย หรือสารพิษต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยจะเข้าไปจับ แล้วทำให้พิษหรือของเสียเหล่านี้เป็นกลาง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับให้ดีขึ้น ในญี่ปุ่นใช้เป็นลารอาหารบำรุงตับและป้องกันการเกิดสารพิษ
กลูตาไธโอนพบได้ตามธรรมชาติใน ปลา เนื้อ หน่อไม้ฝรั่งอะโวคาโด วอลนัต
กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวขึ้น ด้วยกลไกการทำงานครบสมบูรณ์ 2 ขั้นตอน คือ
* ขั้นตอนแรกป้องกันเมลานินที่ผิวหนังไม่ให้ทำปฏิกิริยากับแสงแดดเพี่อไม่ให้เกิดผิวคล้ำ
* ขั้นตอนสอง ยับยั้งการเพิ่มเม็ดฟ้าที่ผิวหนัง โดยยับยั้งการทำงานของนอนไซม์โทโรชีเนส ทำให้ไม่เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
รวมสูตรต่างๆ สูตรลดน้ำหนัก เคล็ดลับความงาม สูตรอาหาร เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ โปรแกรมต่างๆ อีกมากมายเรารวมไว้ให้คุณแล้ว thaisutra
12 November, 2009
30 September, 2009
สูตรคืนความชุ่มชื่นให้กับผิวแห้งแตกเป็นขุย
สูตรนี้จะทำให้ผิวหน้าที่แห้งเป็นขุยกลับมานุ่มชุ่มชื่น
ส่วนผสม
1.อะโวคาโด 1 ซีก
2.น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
3.มะเขือเทศ 2-3 ผล
4.เครื่องปั่นผลไม้
5.ที่คาดผม
6.ที่คั้นน้ำผลไม้
ขั้นตอนการทำ
1.ใช้ช้อนขูดเอาแต่เนื้ออะโวคาโด ล้างมะเขือเทศให้สะอาดแล้วหั่นเป็นแว่นๆ
2.นำ เนื้ออะโวคาโด มะเขือเทศ และน้ำมะนาวมาปั่นรวมกันให้เนียนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
3.ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและโฟมล้างหน้า ซับหน้าให้แห้งสะอาด
4.คาดเก็บผมให้เรียบร้อย ใช้ปลายนิ้วแตะส่วนผสมมาทาบริเวณใบหน้าหรือพอกให้ทั่วหน้า
5.มาร์สหน้าทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที พักหน้านิ่งๆ
6.ล้างหน้าอีกครั้งด้วยน้ำอุ่นๆและโฟมล้างหน้า ซับหน้าให้แห้ง
ทำเป็นประจำผิวให้จะนุ่มเนียนสดใส
24 September, 2009
สูตรน้ำผลไม้ลดไขมัน บำรุงสายตา
สูตรนี้เป็นสูตรที่ดีมีประโยชน์ช่วยลดไขมันและบำรุงสายตา ทำเองได้ง่ายๆ
ส่วนผสม
มะเขือเทศ 2 ลูก
พริกหยวก 1 เม็ด
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำ 4 เม็ด
ขั้นตอนการทำ
ล้างมะเขือเทศและพริกหยวกแล้วแคะเมล็ดพริกหยวกออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นๆ นำส่วนผสมทั้งหมดยกเว้นพริกไทยลงปั่นให้ละเอียด
โรยหน้าด้วยพริกไทยบดใช้ดื่มตอนกลางวัน
ส่วนผสม
มะเขือเทศ 2 ลูก
พริกหยวก 1 เม็ด
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำ 4 เม็ด
ขั้นตอนการทำ
ล้างมะเขือเทศและพริกหยวกแล้วแคะเมล็ดพริกหยวกออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นๆ นำส่วนผสมทั้งหมดยกเว้นพริกไทยลงปั่นให้ละเอียด
โรยหน้าด้วยพริกไทยบดใช้ดื่มตอนกลางวัน
16 September, 2009
สูตรบำรุงเท้า
สูตรบำรุงเท้าส่วนผสม
สตรอว์เบอร์รี่ 8 ผล
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นจนได่ส่วนผสมเป็นเนื้อครีม นำมาขัดให้ทั่วบริเวณเท้า โดยเฉพาะส่วนที่หบายกร้าน เช่น ส้นเท้า รวมทั้งบริเวณอื่น เช่น ง่ามเท้าให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ 2-3 นาทีล้างออกด้วยน้ำ และใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้งทำเป็นประจำจะทำให้ ผิวจะนุ่มชุ่มชื้น ไม้แห้งหยาบ
12 September, 2009
การใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธี
การใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธี การทาครีมกันแดดนั้น คุณรู้ไหมว่าครีมกันแดด 1 อุ้งมือสามารถทา ป้องกันแดดได้ทั่วทั้งตัว ครีมกันแดดนั้นควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 2 ปี ถ้าคุณเป็นคนที่มีผิวไหม้จากการตากแดด ให้ใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของวิตามินซี 1000 มิลลิกรัมและทา มอยส์เจอร์ไรส์เซอร์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน E ,อโลเวร่า ซึ่งจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและไม่แสบร้อนครีมกันแดดชนิดไม่กันน้ำ สามารถช่วยป้องกันผิวคุณขณะอยู่ในน้ำได้ 40 นาที แต่ถ้าใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำจะช่วยป้องกันได้ 80 นาทีและคุณควรทาซ้ำๆทุก 2 ชั่วโมง ขณะเล่นน้ำและทาอีกครั้งหลังการเล่นน้ำ ถ้าออกไปข้างนอกในขณะแดดจ้า ผิวแพ้ง่ายควรเลือกใช้ ที่มีค่า SPF15 และผิวธรรมดาควรใช้ที่มีค่า SPF25 ตัวอย่างการเปรียบเทียบการใช้ครีมกันแดดกับการทำกิจกรรมต่างๆ
กิจกรรม / ค่าSPF
แสงสะท้อนในที่ทำงาน 15
แสงจ้าเวลากลางวัน 30
เล่นกีฬาทางน้ำกลางแจ้ง 50
เล่นกีฬาทางบกกลางแจ้ง 40
ขี่มอเตอร์ไซด์กลางแจ้ง 15 นาที 30
ยืนรอรถเมล์ 15 นาที 20
เที่ยวสวนสนุก 20
ทำสวน 25
แสงสะท้อนในรถยนต์ 25
**SPF คือค่าความสามรถในการป้องกันผิวจากแสงแดดบ่งบอกถึงระดับการป้องกันรังสียูวีบีที่พบในเครื่องสำอาง หรือครีมบำรุงผิว มีค่าตั้งแต่ 2 - 50+ หากอยู่กลางแดดเป็นเวลา 15 นาทีโดยไม่ป้องกันประมาณ 15 นาที ผิวคุณจะเริ่มเกิดอาการแสบร้อน การใช้ SPF15 จะสามารถช่วยปกป้องผิวได้ 75 นาทีหรือประมาณ 15 เท่าของค่า ความสามารถปกติของผิว.
06 September, 2009
ขัดผิวกายให้เนียนเรียบด้วยกาแฟ
ครีมขจัดเซลลูไลต์ ทั่วไปที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดนั้นมีราคาแพง โดยทั่วไปจะมีสารคาเฟอีนเป็นส่วนผสมเราลองมาทำครีมขัดผิวใช้เองที่บ้านได้ง่ายๆด้วยกาแฟ คาเฟอีนในกาแฟนั้นเป็นตัวกระตุ้นการขจัดเซลล์ไขมันและยังช่วยขัดผิวให้เนียนเรียบ แต่วิธีการใช้กาแฟอาจจะยุ่งยากกว่าครีมจากท้องตลาดนิดหน่อย
แต่คุณสมบัติเหมือนกันแถมราคาไม่แพงด้วย มาลองวิธีการ
ส่วนผสม
-กาแฟบด 1 ถ้วย
วิธีการทำ
วิธีการก็ง่ายๆ คือนำกาแฟบดมาขัดถูผิวตัว(ใช้กับผิวตัวเท่านั้น อย่าใช้กับผิวหน้า) การขัดผิวตัวนั้นให้นวดผิวไปด้วย โดยทำไปเรื่อยๆประมาณ 30 นาที แล้วจึงอาบน้ำล้างออกให้สะอาด เพียงง่ายๆเท่านี้ คุณก้จะมีผิวพรรณที่ดูมีสุขภาพดีเองตลาดเลยโดยไม่ต้องไปซื้อครีมกระปุกราคาแพงๆจากท้องตลาดเลย
04 September, 2009
การใช้มอยซ์เจอไรเซอร์อย่างถูกวิธี
การเลือกและใช้มอยซ์เจอไรเซอร์อย่างถูกวิธีเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว
1.เจลใส เหมาะสำหรับผิวมัน
2.โลชั่นและน้ำมัน เหมาะสำหรับผิวทุกแบบ
3.ครีม เหมาะสำหรับบริเวณที่แห้ง
การใช้มอยซ์เจอไรเซอร์อย่างถูกต้อง ต้องใช้ขณะที่ผิวยังหมาดๆ หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเช็ดตัวให้หมาดๆแล้วจึงทา มอยซ์เจอไรเซอร์ พร้อมทั้งนวดผิว เพื่อเป็นการกระตุ้นเลือดลมใต้ผิวให้แผ่ซ่าน ควรทาเน้นที่เข่า ศอก ส้นเท้า เพราะเป็นบริเวณที่ไม่มีต่อมไขมันผิวบริเวณดังกล่าวจึงแห้งและกระด้างได้ง่าย หลังจากทาเสร็จผิวก็จะซึบซับมอยซ์เจอไรเซอร์ประมาณ 3-5 นาที จึงค่อยสวมใส่เสื้อผ้า
03 September, 2009
ขัดผิวด้วยหน้า โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต และน้ำผึ้ง
สูตรการขัดผิวหน้าและส่วนผสมนี้หาได้ง่ายและสามรถทำได้เองที่บ้าน ลองทำดู
ส่วนผสม
1.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย
2.น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ
3.ข้าวโอ๊ตบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำ
1.ผสม โยเกิร์ต น้ำผึ้งและข้าวโอ๊ตลงไปคนให้เข้ากัน จะมีลักษณะข้นๆ
2.นำส่วนผสมมาแต้มที่หน้า 5 จุดได้แก่ หน้าผาก แก้ม2ข้าง จมูก คาง
3.ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆให้ทั่วหน้า และใช้ปลายนิ้วขัดถูเบาๆ
4.ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด
ทำเป็นประจำผิวหน้าจะเรียบเนียนใส ผิวนุ่มละมุน
28 August, 2009
สูตรหน้าใสไร้สิว
สูตรหน้าใสไร้สิว สูตรนี้ใช้ส่วนผสมที่หาได้ง่ายๆและทำเองได้ที่บ้าน
ส่วนประกอบ
1.ไข่ไก่ 1 ฟอง
2.น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
3.นมผง 2 ช้อนชา
4.น้ำมันงา 1 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ
1.ตอกไข่เอาเฉพาะไข่ขาว แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมตีให้เข้ากันดี
2.ล้างหน้าให้สะอาดและซับหน้าให้แห้ง
3.นำส่วนผสมต่างๆที่เตรียมไว้มาทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตา พักหน้าทิ้งไว้ 20-25 นาที
4.แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ให้สะอาด ซับหน้าให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวหน้าที่ใช้ปกติ เพื่อบำรุงใบหน้าได้ดียิ่งขึ้น ทำเป็นประจำหน้าจะสดใสไร้สิวนุ่มเนียนน่ามอง
19 August, 2009
แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ
วิธีแก้ปัญหาขอบตาคล้ำ
ขอบตาคล้ำอาจเกิดได้จาก การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจาการขยี้ตาแรงๆ มาดูเคล็ดลับการแก้ปัญหาขอบตาคล้ำกัน
1.ถุงชาดำ
นำถุงชาไปแช่ในน้ำเย็นแล้วนำมาวางที่ใต้ถุงตา แล้วนอนหลับตาพักสายตาสัก 10-20 นาที จะช่วยลดอาการบวมและช่วยลดขอบตาคล้ำได้ด้วย
2.น้ำแอปเปิ้ล
นำแอปเปิ้ลไปคั้นเอาแต่น้ำแล้วใช้สำลีบริสุทธิ์ จุ่มแล้วนำมาวางบริเวณขอบตาที่คล้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จะช่วยลดขอบตาคล้ำได้
3.มันฝรั่งดิบ
หั่นมันฝรั่งดิบเป็นแว่นๆ นำมาวางที่บริเวณขอบตาที่ค้ำประมาณ 5-10 นาที ในมันฝรั่งจะมีโพแทสเซียมที่ช่วยลดขอบตาคล้ำได้
ทดลองทำได้ ง่ายๆแค่นี้ขอบตาก็จะไม่คล้ำและลดอาการตาบวมได้
14 August, 2009
สูตรบำรุงผิวหน้าเพื่อความอ่อนเยาว์
สูตรบำรุงผิวหน้าเพื่อความอ่อนเยาว์ บำรุงผิวหน้าตามสภาพผิวจากพืชผักผลไม้ เป็นการช่วยซ่อมแซมผิวและบำรุงผิวให้กลับมาสุขภาพดี เปล่งปลง และดูอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติ
สูตรบำรุงสำหรับผิวมัน
มะเขือเทศ 1 ผล ปอกเปลือกออก นำมาใส่เครื่องปั่น ผสมน้ำมะนาว1 ช้อนชา ปั่นจนเนื้อละเอียด เทใส่ภาชนะ ใช้สำลีซับน้ำมะเขือเทศทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 0 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สับปะรดสับปะรดสด 2 ชิ้น ปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ให้เป็นเนื้อเดียวกันพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและป้องกันการเกิดสิว
สับปะรดสับปะรดสด 2 ชิ้น ปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ให้เป็นเนื้อเดียวกันพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและป้องกันการเกิดสิว
สูตรบำรุงสำหรับผิวแห้งและผิวบอบบาง
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับผลอะโวคาโดที่บดละเอียด1/2 ผล นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นหากหาซื้อผลอะโวคาโดไม่ได้ ให้ใช้น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชาผสมแทนน้ำนม
น้ำนมใช้นมผง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ถ้วย ล้างหน้าทุกเช้า เพี่อให้ใบหน้าเนียนนุ่มสดใส เปล่งปลั่ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการ ระคายเคือง
น้ำนมใช้นมผง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ถ้วย ล้างหน้าทุกเช้า เพี่อให้ใบหน้าเนียนนุ่มสดใส เปล่งปลั่ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการ ระคายเคือง
สูตรบำรุงสำหรับผิวผสม
กล้วยบด 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันดี นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ขัดหน้าด้วยข้าวโอ ๊ต
ข้าวโอ๊ตแบบเกล็ด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผสมทั้งสองส่วนให้เข้ากัน ให้ขัดหน้าอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ใบหน้าจะค่อย ๆ ปรับสภาพให้ดีขึ้น
5 วิธีจัดการสิวแบบเร่งด่วน
5 วิธีจัดการสิวแบบเร่งด่วน
สิวเม็ดสองเม็ดที่ผุดขึ้นยามฉุกเฉิน กรณีที่คุณจำเป็นต้องใช้ใบหน้า เช่น งานแต่งงาน หรือนัดสัมภาษณ์งาน ลองใช้ 5 วิธีกำจัดสิวแบบเร่งด่วนรับรองว่าพรุ่งนี้เมื่อคุณตื่นเข้ามา สิวนั้นจะหลุดหายไป หรือลดขนาดลงจนคุณไม่ทันสังเกต
Tip 1 :สิวตุ่มแดง ให้ใช้โลชั่นคาลาไมน์ทาก่อนนอน โดยไม่ต้องล้างออก
Tip 2 :ทาน้ำผึ้งบริเวณเม็ดสิว ประมาณ 1 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดแบคทีเรีย
Tip 3 :ใช้น้ำกระเทียมทาบริเวณที่เป็นส่วนโดยไม่ต้องล้างน้ำออก
Tip 4 :ผสมน้ำมันทีทรีกับยีสต์ทาก่อนนอน ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออกในตอนเช้า
Tip 5 :ใช้ยาสีฟันทาบริเวณสิว ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างยาสีฟันออกในตอนเช้า
12 August, 2009
สครับขัดผิวจากธรรมชาติ
สครับขัดผิวจากธรรมชาติสครับขัดผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาว และเนียนนุ่มขึ้น การขัดผิวควรทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
สูตรชาเขียวขัดผิว
เตรียมใบชาเขียว 2 ช้อนโตะ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
น้ำมันอัลมอนด์ 1ช้อนชา
ข้าวกล้องบดหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
ผสมส่วนประกอบทั้งหมดให้เข้ากันนำมาขัดตัวในยามที่ต้องการ
สูตรเกลือสครับ
เตรียมเกลือเม็ด 2 ช้อนโต๊ะ
ผงขมิ้น 2 ช้อนชา
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี นำมาขัดนวดในทั่วตัว โดยเฉพาะบริณที่ผิวแห้งกราน ข้อศอก หัวเข่า และบริเวณที่เกิดผิวเปลือกส้ม หรือเซลลูไลต์อย่างสะโพก ต้นขา เป็นต้น
สูตรเกลือขัดผิวผสมชามะลิ
นำเกลือทะเล 1 ถ้วยผสมกับชามะลิ 1 /2 ถ้วย คนให้เข้ากันนำมาขัดตัวบริเวณที่ต้องการ
สูตรขมิ้นผงผสมนมสด
สูตรขมิ้นผงผสมนมสด
ขมิ้นผง 4-5 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำนมสด 1 ถ้วยตวง คนผสมให้เข้ากันดี หลังอาบน้ำให้ใช้ส่วนผสมที่ได้ขัดนวดตัวประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง นำนมจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่ม ส่วนขมิ้นจะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
07 August, 2009
เลือกสไตล์เสื้อผ้าแบบไม่ตกยุค
เลือกสไตล์เสื้อผ้าแบบไม่ตกยุค
เสื้อผ้านอกจากจะเป็นเครื่องเเต่งกายที่ห่อหุ้มร่างกายแล้ว ยังบ่งบอก ถึงบุคลิกภาพและเอกลักษณ์ของคุณด้วย เสื้อผ้าที่ไม่ตกยุคตกสมัยที่เรียกได้ว่าทุกคนควรต้องมีไว้ในตู้เสื้อผ้านั้นได้แก่
* เสี้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวหรือสีน้ำเงินเข้ม
* เสื้อยืดคอกลมสีขาวหรือสีดำ
* เสื้อโปโลโทนสีเบสิก
* กระโปรงทรงตรงหรือทรงเอสีดำ น้ำตาล น้ำตาลเข้ม และสีเทา
* กางเกงผ้าขาตรงสีดำ สีน้ำเงินเข้ม และสีน้าตาล
* กางเกงยีนส์ เนื้อผ้าดี ๆ
06 August, 2009
เคล็ดลับการแต่งกาย
การเลือกสวมเสื้อผ้าแก้ไขจุดบกพร่อง
สาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องรูปร่างและกังวลว่าจะสวมเสื้อผ้าไม่สวย
จนทำให้ขาดความมั่นใจ ลองดูคำแนะนำในการสวมเสื้อผ้าแก้ไขรูปร่างอำพราง
จุดบกพร่อง ต่อไปนี้
หน้ายาว คางแหลม : ควรเลือกขอบเสื้อช่วงคอแบบสี่เหลี่ยมหรือ
แบบคอกลม และหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อคอวี เพราะจะยิ่งเน้น่ให้หน้า
และคางดูยาวมากขึ้น
หน้ารูปสี่เหลี่ยม : สวมใส่คอเสื้อแบบคอวี หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อ
คอกลมและคอสี่เหลี่ยม
หน้ากลม : เลือกสวมเสื้อคอวีเเละคอสี่เหลี่ยม จะช่วยลดความกลมของใบหน้า และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อคอกลม
คอสั้น : สวมเสื้อผ้าที่เปิดเห็นคอ หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อคอเต่า
ไหล่กว้าง : การเลือกเสื้อผ้าที่มีคอเสื้อแบบคอวี เเละคอกลมแบบ
กว้าง จะช่วยลดความสนใจออกจากไหล่
ไหล่แคบ : สวมเสื้อผ้าที่มีฟองน้ำเสริมไหล่ จะช่วยให้ไหล่ดูกว้างขื้น
หน้าอกเล็ก : เลือกสวมเสื้อที่มีลายแนวขวาง หรีอเสื้อสายเดี่ยวที่มี
ลูกเล่นหรีอลายบริเวณหัวไหล่
หน้าอกใหญ่ : สวมเสื้อคอวีที่ทำให้มีเนื้อที่บริเวณคางและหน้าอก
หรืออาจจะสวมเสื้อเปลือยแขน เสื้อผ้าสีเข้มก็สามารถช่วยลดความใหญ่
ของหน้าอก ได้
ขาใหญ่ : สวมกางเกงสีเข้มลายทางตรง พยายามอย่าให้มีลวดลาย
ช่วงท่อนล่างหากใส่กระโปรงทรงเอ และอาจเพิ่มการสวมถุงน่องสีเข้มกว่าสี
ผิวที่ขา ช่วยทำให้ขาดูเล็กลง และเสริมด้วยการใส่รองเท้าส้นสูงเล็กน้อย
จะช่วยทำให้คุณดูเพรียวขึ้น
ขาเล็ก : สวมกระโปรงหรือขุดแซ็กทรงเอ และสวมรองเท้าส้นสูงเปลือยเท้า หรือสวมถุงน่องที่มีสีอ่อนกว่าสีผิวที่ขา เพื่อช่วยให้ขาดูมีขนาดที่ได้สัดส่วน
สาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องรูปร่างและกังวลว่าจะสวมเสื้อผ้าไม่สวย
จนทำให้ขาดความมั่นใจ ลองดูคำแนะนำในการสวมเสื้อผ้าแก้ไขรูปร่างอำพราง
จุดบกพร่อง ต่อไปนี้
หน้ายาว คางแหลม : ควรเลือกขอบเสื้อช่วงคอแบบสี่เหลี่ยมหรือ
แบบคอกลม และหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อคอวี เพราะจะยิ่งเน้น่ให้หน้า
และคางดูยาวมากขึ้น
หน้ารูปสี่เหลี่ยม : สวมใส่คอเสื้อแบบคอวี หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อ
คอกลมและคอสี่เหลี่ยม
หน้ากลม : เลือกสวมเสื้อคอวีเเละคอสี่เหลี่ยม จะช่วยลดความกลมของใบหน้า และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อคอกลม
คอสั้น : สวมเสื้อผ้าที่เปิดเห็นคอ หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อคอเต่า
ไหล่กว้าง : การเลือกเสื้อผ้าที่มีคอเสื้อแบบคอวี เเละคอกลมแบบ
กว้าง จะช่วยลดความสนใจออกจากไหล่
ไหล่แคบ : สวมเสื้อผ้าที่มีฟองน้ำเสริมไหล่ จะช่วยให้ไหล่ดูกว้างขื้น
หน้าอกเล็ก : เลือกสวมเสื้อที่มีลายแนวขวาง หรีอเสื้อสายเดี่ยวที่มี
ลูกเล่นหรีอลายบริเวณหัวไหล่
หน้าอกใหญ่ : สวมเสื้อคอวีที่ทำให้มีเนื้อที่บริเวณคางและหน้าอก
หรืออาจจะสวมเสื้อเปลือยแขน เสื้อผ้าสีเข้มก็สามารถช่วยลดความใหญ่
ของหน้าอก ได้
ขาใหญ่ : สวมกางเกงสีเข้มลายทางตรง พยายามอย่าให้มีลวดลาย
ช่วงท่อนล่างหากใส่กระโปรงทรงเอ และอาจเพิ่มการสวมถุงน่องสีเข้มกว่าสี
ผิวที่ขา ช่วยทำให้ขาดูเล็กลง และเสริมด้วยการใส่รองเท้าส้นสูงเล็กน้อย
จะช่วยทำให้คุณดูเพรียวขึ้น
ขาเล็ก : สวมกระโปรงหรือขุดแซ็กทรงเอ และสวมรองเท้าส้นสูงเปลือยเท้า หรือสวมถุงน่องที่มีสีอ่อนกว่าสีผิวที่ขา เพื่อช่วยให้ขาดูมีขนาดที่ได้สัดส่วน
04 August, 2009
สูตรบำรุงขอบตาและลดรอยตีนกา
สูตรบำรุงขอบตาและลดรอยตีนกา
ผิวหนังบริเวณใต้ขอบตาเป็นส่วนที่บางที่สุดและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
เพราะผิวหนังส่วนนี้ไม่มีต่อมไขมัน ดังนั้นจึงควรดูแลผิวหนังใต้ตาเป็นพิเศษ
สูตรน้ำมันวีตเจิร์ม
หยดน้ำมันวีตเจิร์ม 2-3 หยดลงบนนิ้วชี้ ใช้แต้มเบา ๆ บริเวณใต้ดา
ค่อย ๆ ทาจากใต้หัวตาไปยังหางตาแบบเบามือ หากไม่สามารถหาน้ำมันวีตเจิร์มได้ สามารถใช้น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโดแทนได้
สูตรแตงกวา
แตงกวาหั่นแว่น 2 นิ้ว นำมาวางลงบนดวงตา วิตามินจากแตงกวาดูดซึมเข้าที่ใต้ตา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังใต้ดวงตา
สูตรน้ำแครอต
น้ำแครอต 1 ช้อนชา ใช้สำลีบริสุทธิ์ซับน้ำแครอตเช็ดผิวหนังรอบตา
เบา ๆ ทุกครั้งหลังเช็ดเครื่องสำอางออกจากบริเวณเปลือกตา
สูตรถุงชา
ถุงชาเขียว ชาดำ 2 ถึงที่แช่น้ำแล้ว นำมาประคบดวงตา สารแทนนิน
จะช่วยลดอาการบวมและขอบตาคล้ำได้ดี
สูตรน้ำนม
ใช้น้ำนมสดชุบสำลีและประคบบริเวณใต้ตาประมาณ 5-10 นาที แล้ว
เช็ดออกด้วยสำลีสะอาดอีกครั้ง สารแลกตินในน้ำนมจะช่วยรักษาความชุ่มชื้น
ให้แก่ดวงตา
ผิวหนังบริเวณใต้ขอบตาเป็นส่วนที่บางที่สุดและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
เพราะผิวหนังส่วนนี้ไม่มีต่อมไขมัน ดังนั้นจึงควรดูแลผิวหนังใต้ตาเป็นพิเศษ
สูตรน้ำมันวีตเจิร์ม
หยดน้ำมันวีตเจิร์ม 2-3 หยดลงบนนิ้วชี้ ใช้แต้มเบา ๆ บริเวณใต้ดา
ค่อย ๆ ทาจากใต้หัวตาไปยังหางตาแบบเบามือ หากไม่สามารถหาน้ำมันวีตเจิร์มได้ สามารถใช้น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโดแทนได้
สูตรแตงกวา
แตงกวาหั่นแว่น 2 นิ้ว นำมาวางลงบนดวงตา วิตามินจากแตงกวาดูดซึมเข้าที่ใต้ตา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังใต้ดวงตา
สูตรน้ำแครอต
น้ำแครอต 1 ช้อนชา ใช้สำลีบริสุทธิ์ซับน้ำแครอตเช็ดผิวหนังรอบตา
เบา ๆ ทุกครั้งหลังเช็ดเครื่องสำอางออกจากบริเวณเปลือกตา
สูตรถุงชา
ถุงชาเขียว ชาดำ 2 ถึงที่แช่น้ำแล้ว นำมาประคบดวงตา สารแทนนิน
จะช่วยลดอาการบวมและขอบตาคล้ำได้ดี
สูตรน้ำนม
ใช้น้ำนมสดชุบสำลีและประคบบริเวณใต้ตาประมาณ 5-10 นาที แล้ว
เช็ดออกด้วยสำลีสะอาดอีกครั้ง สารแลกตินในน้ำนมจะช่วยรักษาความชุ่มชื้น
ให้แก่ดวงตา
01 August, 2009
บำรุงมือและเท้าด้วยน้ำมันมะกอก
บำรุงมือและเท้าด้วยน้ำมันมะกอก
คุณควรซื้อ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ บรรจุขวดเล็กๆ ขาย ตามร้านของชำ
หรือซูเปอร์มาเก็ต หรือร้านขายยาทั่วไป มาติดบ้านไว้สัก 1 ขวด
หรือซูเปอร์มาเก็ต หรือร้านขายยาทั่วไป มาติดบ้านไว้สัก 1 ขวด
ขั้นตอน
ใช้น้ำมันมะกอกแท้ๆ เพียง 2-3 ช้อนชา โดยไม่ต้องผสมอะไร ทาให้ทั่วฝ่ามือ เล็บ และช่วงเท้า เพื่อบำรุงผิวพรรณไม่ให้แห้งกร้าน หรือแตกแห่งเป็นขุยทุกๆ วันอาจทำในช่วงเช้า หลังอาบน้ำ หรือยามดึกก่อนเข้านอน
เป็นประจำทุกวัน หรือทุกคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูที่อากาศหนาวเย็นหรือสำหรับคุณที่ทำงานอยูในห้องแอร์ตลอดวัน ก็ควรจะบำรุงผิวของบริเวณมือและเท้าไม่ให้แห้งกร้าน หรือแห้งแตกเป็นขุย ซึ่งถ้าคุณใช้น้ำมันมะกอกเป็นประจำแล้ว เพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นลอง สังเกตดูบริเวณมือตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายเล็บ และช่วงเท้าทั้งอุ้ง เท้าและฝ่าเท้าจะสังเกตได้ทันทีและชัดเจนว่า ผิวพรรณจะนุ่มมีความ ละเอียดเนียน และชุ่มชื่นขึ้นอย่างน่าพอใจเลยทีเดียว
ใช้น้ำมันมะกอกแท้ๆ เพียง 2-3 ช้อนชา โดยไม่ต้องผสมอะไร ทาให้ทั่วฝ่ามือ เล็บ และช่วงเท้า เพื่อบำรุงผิวพรรณไม่ให้แห้งกร้าน หรือแตกแห่งเป็นขุยทุกๆ วันอาจทำในช่วงเช้า หลังอาบน้ำ หรือยามดึกก่อนเข้านอน
เป็นประจำทุกวัน หรือทุกคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูที่อากาศหนาวเย็นหรือสำหรับคุณที่ทำงานอยูในห้องแอร์ตลอดวัน ก็ควรจะบำรุงผิวของบริเวณมือและเท้าไม่ให้แห้งกร้าน หรือแห้งแตกเป็นขุย ซึ่งถ้าคุณใช้น้ำมันมะกอกเป็นประจำแล้ว เพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นลอง สังเกตดูบริเวณมือตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายเล็บ และช่วงเท้าทั้งอุ้ง เท้าและฝ่าเท้าจะสังเกตได้ทันทีและชัดเจนว่า ผิวพรรณจะนุ่มมีความ ละเอียดเนียน และชุ่มชื่นขึ้นอย่างน่าพอใจเลยทีเดียว
31 July, 2009
เคล็ดลับบำรุงข้อศอกและหัวเข่าด้วยน้ำผึ้ง
บำรุงข้อศอกและหัวเข่าด้วยน้ำผึ้ง
คุณควรจะดูแลใส่ใจบำรุงผิวพรรณช่วงบริเวณ
ข้อศอกของทั้ง 2 แขน และบริเวณ หัวเข่าทั้ง 2 เป็นประจำ
เพื่อให้ผิวพรรณบริเวณนั้นนุ่มนวลไม่แห้งกร้าน หรือ
ดูหยาบกร้านไม่น่ามอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฤดูหนาว หรือคุณที่ต้องทำงานอยู่ใน
ห้องแอร์ ก็ควรจะบำรุงข้อศอกและหัวเข่าเนื่องจากจะเป็นจุดที่มีความกร้าน และมีรอย
คล้ำจะเห็นได้ชัดกว่าผิวพรรณส่วนอื่นๆ การเตรียมและขั้นการก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
คุณควรจะดูแลใส่ใจบำรุงผิวพรรณช่วงบริเวณ
ข้อศอกของทั้ง 2 แขน และบริเวณ หัวเข่าทั้ง 2 เป็นประจำ
เพื่อให้ผิวพรรณบริเวณนั้นนุ่มนวลไม่แห้งกร้าน หรือ
ดูหยาบกร้านไม่น่ามอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฤดูหนาว หรือคุณที่ต้องทำงานอยู่ใน
ห้องแอร์ ก็ควรจะบำรุงข้อศอกและหัวเข่าเนื่องจากจะเป็นจุดที่มีความกร้าน และมีรอย
คล้ำจะเห็นได้ชัดกว่าผิวพรรณส่วนอื่นๆ การเตรียมและขั้นการก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
ขั้นตอนการทำ
1. เตรียมน้ำผึ้งแท้บริสุทธิ์ประมาณ 4-7 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปอุ่น
บนเตาให้น้ำผึ้งอุ่นๆ กำลังดี อย่าต้มจนเดือดหรือร้อนจนเกินไป
2. ล้างมือให้สะอาดสะอ้าน ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งอุ่นๆ นั้นมาทา
ถูให้ทั่วๆ ข้อศอกทั้ง 2 ข้างและหัวเข่าทั้ง 2
3. ขณะที่ใช้ปลายนิ้วทาน้ำผึ้งไปทั่วๆ ข้อศอก และที่หัวเข่านั้นใหh
กดปลายนิ้วคลึงเคล้น บนผิวหนังบริเวณนั้นแรงๆ พอสมควร
4. เมื่อใช้น้ำผึ้งให้หมดจากประมาณที่เตรียมไว้แล้วนั้น พอกทิ้งไว้
นานประมาณสัก 1/2 ชัวโมง จึงค่อยทำความสะอาดออกด้วยน้ำอุ่นๆ
กับ สบู่
1. เตรียมน้ำผึ้งแท้บริสุทธิ์ประมาณ 4-7 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปอุ่น
บนเตาให้น้ำผึ้งอุ่นๆ กำลังดี อย่าต้มจนเดือดหรือร้อนจนเกินไป
2. ล้างมือให้สะอาดสะอ้าน ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งอุ่นๆ นั้นมาทา
ถูให้ทั่วๆ ข้อศอกทั้ง 2 ข้างและหัวเข่าทั้ง 2
3. ขณะที่ใช้ปลายนิ้วทาน้ำผึ้งไปทั่วๆ ข้อศอก และที่หัวเข่านั้นใหh
กดปลายนิ้วคลึงเคล้น บนผิวหนังบริเวณนั้นแรงๆ พอสมควร
4. เมื่อใช้น้ำผึ้งให้หมดจากประมาณที่เตรียมไว้แล้วนั้น พอกทิ้งไว้
นานประมาณสัก 1/2 ชัวโมง จึงค่อยทำความสะอาดออกด้วยน้ำอุ่นๆ
กับ สบู่
เพียงเท่านี้คุณก็จะมี ผิวพรรณบริเวณเข่าและข้อศอกที่นุ่มเนียนไม่หยาบกร้าน
30 July, 2009
สูตรบำรุงเล็บด้วยมะนาว
สูตรบำรุงเล็บด้วยมะนาว
นอกจากผิวพรรณมีความงดงามนุ่มเนียน ผุดผ่อง ไม่หยาบ
กร้าน หรือไม่เป็นมันเยิ้มจนเกินไป และไม่แตกเป็นขุยๆ แล้วนั้น
เล็บเท้าก็ควรที่จะได้รับการบำรุงดูแลอย่างดีด้วย
นอกจากการเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างเล็บทำการตัดหนังขัดเล็บ
และทาสีเล็บ เป็นสีต่างๆ สดสวยแล้วนั้น การบำรุงที่แท้จริงและถูก
ต้องก็คือการบำรุงให้วิตามินแก่เล็บเท้าให้มีความทนทานแข็งแรงไม่
แตกหักง่ายและมีความเป็นเงางามแม้จะไม่ได้ทาสีเคลือบเล็บแต่อย่างใด
สุขภาพของเล็บที่ดีคือเจ็บที่แข็งแรงมีความเป็นเงางาม ไม่
เปื่อยยุ่ยหรือแตกหักง่ายและไม่ดู แข็งกร้าวเปราะแตกง่าย
คุณควรบำรุงนิ้วเท้าและเล็บเท้าทุกๆสัปดาห์ในวันหยุดสัปดาห์ละ
1ครั้ง แล้วคุณจะเห็นผลที่เปลี่ยนไปในทางดีได้อย่างชัดเจน
และน่าพอใจอย่างยิ่ง
ขั้นตอนการทำ
1. เตรียมน้ำอุ่นและแช่เท้าของคุณในน้ำอุ่นในอ่างเล็กๆ
ประมาณ 2-3 นาที
2.ใช้เผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับน้ำบนเท้าให้แห้งสนิท
3. เตรียมมะนาวสักเสี้ยวใหญ่ๆ หรือ 1-2 ลูก ไม่ต้องบีบน้ำออก
4. ใช้มะนาวนั้นถูๆ ทาให้ทั่วนิ้วเท้า และช่วงเล็บ ทั้ง 10 นิ้วเท้า
ให้ทาถูจนกว่าน้ำมะนาวจะหมดไป จากนั้นยังคงใช้เปลือก
มะนาวที่หมดน้ำแล้ว หรือยังชุ่มน้ำอยู่เล็กน้อยถูๆ ทาๆ ขัดนิ้วเท้า
และเล็บให้ทั่วๆ
สำหรับสูตรบำรุงเล็บ และนิวเท้านี้จะต้องทำในช่วงที่นิ้ว
เท้า และผิวหนังในบริเวณนั้นไม่มีบาดแผลใดๆ ที่จะทำให้เกิดการ
แสบจากฤทธิ์ของน้ำมะนาวได้
5. เมื่อขัดถูเล็บเท้าทั้ง 10 แล้วให้ปล่อยทิ้งนานสัก 15 นาทีค่อยชำระล้างทำความสะอาดออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล
นอกจากผิวพรรณมีความงดงามนุ่มเนียน ผุดผ่อง ไม่หยาบ
กร้าน หรือไม่เป็นมันเยิ้มจนเกินไป และไม่แตกเป็นขุยๆ แล้วนั้น
เล็บเท้าก็ควรที่จะได้รับการบำรุงดูแลอย่างดีด้วย
นอกจากการเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างเล็บทำการตัดหนังขัดเล็บ
และทาสีเล็บ เป็นสีต่างๆ สดสวยแล้วนั้น การบำรุงที่แท้จริงและถูก
ต้องก็คือการบำรุงให้วิตามินแก่เล็บเท้าให้มีความทนทานแข็งแรงไม่
แตกหักง่ายและมีความเป็นเงางามแม้จะไม่ได้ทาสีเคลือบเล็บแต่อย่างใด
สุขภาพของเล็บที่ดีคือเจ็บที่แข็งแรงมีความเป็นเงางาม ไม่
เปื่อยยุ่ยหรือแตกหักง่ายและไม่ดู แข็งกร้าวเปราะแตกง่าย
คุณควรบำรุงนิ้วเท้าและเล็บเท้าทุกๆสัปดาห์ในวันหยุดสัปดาห์ละ
1ครั้ง แล้วคุณจะเห็นผลที่เปลี่ยนไปในทางดีได้อย่างชัดเจน
และน่าพอใจอย่างยิ่ง
ขั้นตอนการทำ
1. เตรียมน้ำอุ่นและแช่เท้าของคุณในน้ำอุ่นในอ่างเล็กๆ
ประมาณ 2-3 นาที
2.ใช้เผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับน้ำบนเท้าให้แห้งสนิท
3. เตรียมมะนาวสักเสี้ยวใหญ่ๆ หรือ 1-2 ลูก ไม่ต้องบีบน้ำออก
4. ใช้มะนาวนั้นถูๆ ทาให้ทั่วนิ้วเท้า และช่วงเล็บ ทั้ง 10 นิ้วเท้า
ให้ทาถูจนกว่าน้ำมะนาวจะหมดไป จากนั้นยังคงใช้เปลือก
มะนาวที่หมดน้ำแล้ว หรือยังชุ่มน้ำอยู่เล็กน้อยถูๆ ทาๆ ขัดนิ้วเท้า
และเล็บให้ทั่วๆ
สำหรับสูตรบำรุงเล็บ และนิวเท้านี้จะต้องทำในช่วงที่นิ้ว
เท้า และผิวหนังในบริเวณนั้นไม่มีบาดแผลใดๆ ที่จะทำให้เกิดการ
แสบจากฤทธิ์ของน้ำมะนาวได้
5. เมื่อขัดถูเล็บเท้าทั้ง 10 แล้วให้ปล่อยทิ้งนานสัก 15 นาทีค่อยชำระล้างทำความสะอาดออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล
29 July, 2009
เคล็ดลับใบหน้านุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้ง
นุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้งถ้าคุณสนใจที่จะดูแลสุภาพอย่างจริงจัง ควรซื้อน้ำผึ้งแท้สักขวดไว้ติดบ้าน เนื่องจากน้ำผึ้งมีคุณค่าต่อร่างกายอย่างมหาศาล ทั้งรับประทานและบำรุงผิวพรรณ น้ำผึ้งจะช่วยลบริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าอย่างมหัศจรรย์ ริ้วรอยจะค่อยๆ จางไป ความเต่งตึงชุ่มชื้นจะมีมากขึ้น เนียนใส คุณควรถนอมผิวด้วยน้ำผึ้งทุกๆ 3 วัน
อุปกรณ์
1. น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ
2.โถเคลือบหรือภาชนะใดก็ได้ที่ทนไฟ
3. หมวกคลุมผมหรือที่คาดผม
ขั้นตอน
1. ล้างหน้าของคุณให้สะอาดสะอ้านถ้าจะให้ดีควรลงทุนต้มน้ำร้อนสักหน่อย พอน้ำอุ่นแล้ว ใช้น้ำอุ่น ล้างหน้าชำระคราบ ฝุ่นละอองบนใบหน้าของคุณให้สะอาดด้วยสบู่ หรือโฟมล้างหน้า
2. เมื่อทำความสะอาดใบหน้าจนรู้สึกสะอาดดีแล้ว ใช้ผ้าขนหนูซับหน้าให้แห้งใช้ที่คาดผม คาดผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อที่เส้นผมจะได้ไม่ ลงมาปรกหน้า หรือจะใช้หมวกพลาสติกสำหรับอาบน้ำ คลุมเส้นผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อความสะดวก
3.นำน้ำผึ้งใส่ในโถเคลือบใบเล็กๆ หรือภาชนะใดก็ได้ที่สามารถทนไฟได้แล้วนำน้ำผึ้งไปอุ่นบนเตา ไม่ต้องให้ร้อนมาก เพียงแค่อุ่นๆ ก็ใช้ได้แล้ว
4.ล้างมือของให้สะอาด ใช้ปลายนิ้วชี้ และนิ้วกลางแตะน้ำผึ้งทาบนใบหน้าเริ่มที่หน้าผากเป็นจุดแรก ขณะทาให้ทั่วหน้าผาก ปลายนิ้วควรคลึงเบาๆ ไปบนผิวหน้าผากด้วยจากนั้นเริ่มที่ช่วงแก้มข้างซ้ายมาที่แก้มข้างขวา จุดต่อไปคือสันจมูกเหนือริมฝีปากและมาที่บริเวณคางในที่สุดขณะที่ทาน้ำผึ้งไปทั่วๆ ใบหน้าของคุณนั้นอย่าลืมว่าปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางควรจะคลึงเคล้นเบาๆ นวดใบหน้าของคุณไปด้วยเมื่อทาน้ำผึ้งจนหมดแล้วนอนหลับตาสบายๆ นาน 40 นาทีจึงค่อยทำความสะอาดชำระล้างน้ำผึ้งออกจากใบหน้าด้วยน้ำอุ่น โฟมล้างหน้า หรือสบู่ให้สะอาดสะอ้าน
เพียงเท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะเกลี้ยงเกลา นุ่มละมุน โดยไม่ต้องอาศัย ผลิตภัณฑ์แพงๆตามท้องตลาดเลย
อุปกรณ์
1. น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ
2.โถเคลือบหรือภาชนะใดก็ได้ที่ทนไฟ
3. หมวกคลุมผมหรือที่คาดผม
ขั้นตอน
1. ล้างหน้าของคุณให้สะอาดสะอ้านถ้าจะให้ดีควรลงทุนต้มน้ำร้อนสักหน่อย พอน้ำอุ่นแล้ว ใช้น้ำอุ่น ล้างหน้าชำระคราบ ฝุ่นละอองบนใบหน้าของคุณให้สะอาดด้วยสบู่ หรือโฟมล้างหน้า
2. เมื่อทำความสะอาดใบหน้าจนรู้สึกสะอาดดีแล้ว ใช้ผ้าขนหนูซับหน้าให้แห้งใช้ที่คาดผม คาดผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อที่เส้นผมจะได้ไม่ ลงมาปรกหน้า หรือจะใช้หมวกพลาสติกสำหรับอาบน้ำ คลุมเส้นผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อความสะดวก
3.นำน้ำผึ้งใส่ในโถเคลือบใบเล็กๆ หรือภาชนะใดก็ได้ที่สามารถทนไฟได้แล้วนำน้ำผึ้งไปอุ่นบนเตา ไม่ต้องให้ร้อนมาก เพียงแค่อุ่นๆ ก็ใช้ได้แล้ว
4.ล้างมือของให้สะอาด ใช้ปลายนิ้วชี้ และนิ้วกลางแตะน้ำผึ้งทาบนใบหน้าเริ่มที่หน้าผากเป็นจุดแรก ขณะทาให้ทั่วหน้าผาก ปลายนิ้วควรคลึงเบาๆ ไปบนผิวหน้าผากด้วยจากนั้นเริ่มที่ช่วงแก้มข้างซ้ายมาที่แก้มข้างขวา จุดต่อไปคือสันจมูกเหนือริมฝีปากและมาที่บริเวณคางในที่สุดขณะที่ทาน้ำผึ้งไปทั่วๆ ใบหน้าของคุณนั้นอย่าลืมว่าปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางควรจะคลึงเคล้นเบาๆ นวดใบหน้าของคุณไปด้วยเมื่อทาน้ำผึ้งจนหมดแล้วนอนหลับตาสบายๆ นาน 40 นาทีจึงค่อยทำความสะอาดชำระล้างน้ำผึ้งออกจากใบหน้าด้วยน้ำอุ่น โฟมล้างหน้า หรือสบู่ให้สะอาดสะอ้าน
เพียงเท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะเกลี้ยงเกลา นุ่มละมุน โดยไม่ต้องอาศัย ผลิตภัณฑ์แพงๆตามท้องตลาดเลย
21 July, 2009
เคล็ดลับลดหน้ามัน ด้วยดินสอพอง
เคล็ดลับลดหน้ามัน ด้วยดินสอพองสำหรับท่านที่มีปัญหาหน้ามันและสิวเสี้ยนหรือจุดด่างดำ ใช้สูตรนี้รับรองหน้าจะนวลเนียนผุดผ่อง ทำได้ง่ายๆที่บ้านไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอาง ราคาแพงแต่อย่างใด
อุปกรณ์ที่ใช้
1.ดินสอพอง 2-3 เม็ด
2.มะนาว 1 ซีก
3.ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผม
4.ถ้วยหรืออ่างใบเล็ก
ขั้นตอนการทำ
1. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น กับโฟมล้างหน้าหรือสบู่ แล้วซับหน้าเบาๆด้วยผ้าขนหนูให้หน้าแห้ง
2. ใส่ดินสอพองในถ้วยหรืออ่างใบเล็กแล้วใช้มือบี้ดินสอพองให้ละเอียด จากนั้นบีบน้ำมะนาว 1 ซีกลงไปแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันดี
3. ใช้นิ้วมือแตะดินสอพองมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณดวงตาและริมฝีปาก
4. พักใบหน้าไว้ ห้ามขยับใบหน้า ประมาณ 15 นาที
5. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ให้สะอาด
ทำเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา ประมาณ 1 เดือน จะเห็นผลใบหน้าจะไม่มันผิวจะขาวนวลเนียนผุดผ่อง เกลี้ยงเกลา
13 July, 2009
สูตรลับหน้าขาวใสไร้สิวด้วยมะนาว
สูตรลับหน้าขาวใสไร้สิวด้วยมะนาวสูตรง่ายๆที่ใครก็สามารถทำได้ด้วยมะนาวที่ทุกๆบ้านต้องมีติดไว้ สูตรหน้าขาวที่ไม่เป็นอันตรายเพราะเป็นสูตรจากธรรมชาติแท้ 100 %
ส่วนประกอบ
1. มะนาว 1 ลูก
2. มีด
3. ถ้วยใบเล็กๆหรืออ่างใบเล็กๆ
4. ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผม
ขั้นตอนการทำ
ต้มน้ำให้อุ่นๆไม่ร้อนเกินไปล้างมะนาวให้สะอาด ผ่ามะนาวออกเป็นซีกๆ แกะเมล็ดออกให้หมด บีบน้ำมะนาวใส่ถ้วยไว้ เปลือกเก็บไว้ไม่ต้องทิ้ง ล้างหน้าให้สะอาด ด้วยน้ำอุ่นที่เตรียมไว้กับสบู่หรือโฟมล้างหน้า แล้วซับหน้าให้สะอาดและแห้งสนิท หลังจากนั้นใช้เปลือกมะนาวชุบน้ำมะนาวเช็ดให้ทั่ว ไล่จากหน้าผากแล้วไปที่แก้มทั้ง 2 ข้าง จมูกและคาง อย่าถูกแรง ควรถูกคลึงเบาๆให้ทั่วทั้งใบหน้า เปลี่ยนเปลือกมะนาวบ้างก็ได้เช็ดถูจนน้ำมะนาวหมดแก้ว เสร็จแล้วพักหน้าทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง อาจจะหลับพักสายตา หรือนั่งอ่านหนังสือ ทำงานบ้าน แล้วแต่สะดวก หากมีเวลาว่างอาจจะพักหน้าหลายๆชั่วโมงก็ได้ แล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้าจนสะอาด หากคุณทำเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งผิวหน้าของคุณจะขาวใสเรียบเนียน ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงตามท้องตลาดให้เปลืองตังค์เลย ง่ายๆเพียงเท่านี้คุณก็ทำได้ง่ายๆที่บ้าน
12 July, 2009
สูตรไอศครีมโยเกิร์ตเพื่อผิวสวย
สูตรไอศครีมโยเกิร์ตเพื่อผิวสวย
ไอศครีมเป็นของหวานกินเล่นที่ใครๆก็ชอบ ลองมาเพิ่มคุณค่าของไอศครีมด้วยการดัดแปลงใช้โยเกิร์ตทำไอศรีม ทำกินเล่นเองที่บ้านได้ง่ายสบายๆและมีคุณค่าต่อผิวพรรณกันดูเถอะ
ส่วนประกอบ
1.โยเกิร์ตชนิดดื่มรสธรรมชาติชนิดพร่องไขมัน 2 ถ้วยตวง
2.สับปะรดหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
3.น้ำตาลทรายแดง 1/2 ช้อนโต๊ะ
4.มะละกอหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
5.องุ่นปอกเปลือกแกะเมล็ดผ่าซีก 1 ช้อนโต๊ะ
6.แอปเปิ้ลไม่ปอกเปลือกหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
7.ส้มแกะเม็ดหั่นครึ่งกลีบเอาเม็ดออก 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีการทำ
ละลายน้ำตาลทรายในโยเกิร์ต เมื่อน้ำตาลละลายดีแล้ว นำผลไม้ทุกชนิดที่เตรียมไว้ใส่ลงไป แล้วคนให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะ ถ้วยหรือแก้วสวยๆ นำเข้าช่องฟรีซ จนโยเกิร์ตกลายเป็นเนื้อไอศครีมนำออกมาทานได้ หากดัดแปลงโดยใช้โยเกิร์ตชนิดหวานไม่ต้องเติมน้ำตาลเพิ่ม โยเกิร์ตช่วยให้ระบบขับถ่ายดีเพราะมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุทดลองทำทานกันดูได้ เพื่อสุขภาพผิวที่สวย
10 July, 2009
อ้วนไม่อ้วนดูตรงไหน
อ้วนไม่อ้วนดูตรงไหนการประเมินตัวเองว่าอ้วนหรือไม่อ้วนดูได้จากไหน เราใช้มาตรฐาน 3 อย่างในการประเมินว่าอ้วนขนาดไหน
1. ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เป็นการประเมินน้ำหนักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อทำให้เรารู้ถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสมโดยใช้ความสูงและน้ำหนักเป็นเกณฆ์ในการพิจารณา
การหาค่าดัชนีมวลกาย
1. เปลี่ยนความสูงจาก เซนติเมตรให้เป็นเมตร เช่น 170 เซนติเมตร ความสูงเป็นเมตร 1.7
2. นำความสูงเป็นเมตรมายกกำลัง 2 เช่น 1.7x1.7 = 2.89
3. นำน้ำหนักตัวมาหารด้วยผลลัพธ์ส่วนสูงเป็นเมตรที่ยกกำลัง 2 แล้ว (จากข้อ 2)
เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ BMI = น้ำหนักตัว/ความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2
ดัชนีมวลกายแบ่งน้ำหนักเป็นระดับต่างๆดังนี้
น้อยกว่า 20 (19 สำหรับผู้หญิง) = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฆ์
20-24.99 = น้ำหนักอยู่ในเกณฆ์ปกติ
25-29.99 = น้ำหนักเกินพิกัด
30-34.99 = อ้วนระดับที่ 1
35-39.99 = อ้วนระดับที่ 2
40 หรือมากกว่า = อ้วนในระดับที่ก่อให้เกิดอันตราย
ดัชนีมวลกายสามารถประเมิณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันเนื่องจากน้ำหนักอย่างไร
น้ำหนัก = ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
น้อยกว่า 20.00 = ปานกลางไปจนถึงสูง
20.00-21.99 = ต่ำ
22.00-24.99 = ต่ำมาก
25.00-29.99 = ต่ำ
30.00-34.99 = ปานกลาง
35.00-39.99 = สูงมากกว่า
40.00 = สูงมาก
ปัญหาสุขภาพที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำหนักตัวที่สูงเกิน
คนที่ค่า BMI อยู่ที่ 34 หรือน้อยกว่านั้น นอกเหนือจากดัชนีมวลกายเส้นรอบเอวก็สามารถทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เช่นกัน ไขมันที่เก็บไว้ที่รอบๆช่องท้องและกระเพาะอาหารจำเป็นตัวกำหนดการเกิดโรคที่ชัดเจนกว่าไขมันที่เก็บไว้ที่ส่วนอื่น
เส้นรอบเอวที่ส่งผลดีต่อสุขภาพควรอยู่ที่ระดับใด
ผู้หญิง
เอวมากกว่า 31 นิ้ว (ประมาณ 80 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 35 นิ้ว (ประมาณ 90 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
ผู้ชาย
เอวมากกว่า 37 นิ้ว (ประมาณ 94 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 40 นิ้ว (ประมาณ 102 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
3.ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วน
นอกจากดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วนอื่นๆอีกด้วย ดังนี้
1. ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เป็นการประเมินน้ำหนักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อทำให้เรารู้ถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสมโดยใช้ความสูงและน้ำหนักเป็นเกณฆ์ในการพิจารณา
การหาค่าดัชนีมวลกาย
1. เปลี่ยนความสูงจาก เซนติเมตรให้เป็นเมตร เช่น 170 เซนติเมตร ความสูงเป็นเมตร 1.7
2. นำความสูงเป็นเมตรมายกกำลัง 2 เช่น 1.7x1.7 = 2.89
3. นำน้ำหนักตัวมาหารด้วยผลลัพธ์ส่วนสูงเป็นเมตรที่ยกกำลัง 2 แล้ว (จากข้อ 2)
เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ BMI = น้ำหนักตัว/ความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2
ดัชนีมวลกายแบ่งน้ำหนักเป็นระดับต่างๆดังนี้
น้อยกว่า 20 (19 สำหรับผู้หญิง) = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฆ์
20-24.99 = น้ำหนักอยู่ในเกณฆ์ปกติ
25-29.99 = น้ำหนักเกินพิกัด
30-34.99 = อ้วนระดับที่ 1
35-39.99 = อ้วนระดับที่ 2
40 หรือมากกว่า = อ้วนในระดับที่ก่อให้เกิดอันตราย
ดัชนีมวลกายสามารถประเมิณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันเนื่องจากน้ำหนักอย่างไร
น้ำหนัก = ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
น้อยกว่า 20.00 = ปานกลางไปจนถึงสูง
20.00-21.99 = ต่ำ
22.00-24.99 = ต่ำมาก
25.00-29.99 = ต่ำ
30.00-34.99 = ปานกลาง
35.00-39.99 = สูงมากกว่า
40.00 = สูงมาก
ปัญหาสุขภาพที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำหนักตัวที่สูงเกิน
- ความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ
- เส้นเลือดในสมองอุดตัน
- ความไม่สมดุลของระบบเผาผลาญไขมัน
- อาการต้านอินซูลิน
- เบาหวานชนิดที่ 2
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- โรคข้อเสื่อม
- อาหารไหลย้อนกลับ
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
คนที่ค่า BMI อยู่ที่ 34 หรือน้อยกว่านั้น นอกเหนือจากดัชนีมวลกายเส้นรอบเอวก็สามารถทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เช่นกัน ไขมันที่เก็บไว้ที่รอบๆช่องท้องและกระเพาะอาหารจำเป็นตัวกำหนดการเกิดโรคที่ชัดเจนกว่าไขมันที่เก็บไว้ที่ส่วนอื่น
เส้นรอบเอวที่ส่งผลดีต่อสุขภาพควรอยู่ที่ระดับใด
ผู้หญิง
เอวมากกว่า 31 นิ้ว (ประมาณ 80 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 35 นิ้ว (ประมาณ 90 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
ผู้ชาย
เอวมากกว่า 37 นิ้ว (ประมาณ 94 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 40 นิ้ว (ประมาณ 102 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
3.ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วน
นอกจากดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วนอื่นๆอีกด้วย ดังนี้
- ความดันโลหิต
- สูงคอเลสเตอรอล LDL สูง (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี)
- คอเลสเตอรอล HDL ต่ำ (คอเลสเตอรอลชนิดดี)
- ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- ครอบครัวมีประวัติเกิดโรคหัวใจ
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่
09 July, 2009
มารู้จักอนุมูลอิสระ กันเถอะ
มาทำความรู้จักกับอนุมูลอิสระ กันเถอะ อนุมูลอิสระคือ โมเลกุลออกซิเจนที่ขาดอิเล็กตรอนไป 1 ตัว โดยปกติแล้วโมเลกุลออกซิเจนจะอยู่กันเป็นคู่ๆเมื่อขาด อิเล็คตรอนไป 1 ตัวทำให้ตัวเองมีประจุกลายเป็นลบจึงทำปฏิกิริยากับ โมเลกุลอื่นๆ เพื่อแย่งอิเล็คตรอนกับเมโลกุลอื่น เมื่อตัวที่ถูกแย่งโมเลกุลกลายเป็นลบ ก็ต้องแย่งโมเลกุลกันต่อไปเป็นทอดๆเหมือนโดมิโน สาเหตุที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระคือการใช้ออกซิเจนของร่างกายนั่นเองรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องด้วยนั่นเอง ทำให้อนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายของเราเอง เกิดความเสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดการแก่ก่อนวัย และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั่นเอง
อนุมูลอิสระจะมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน
1.ไฮดรอดซิล เรดิคอล
เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อร่างกายเรามากที่สุด ทำให้เกิดการเสื่อมของร่างกายเรา ทำให้เกิดโรคมะเร็ง
2.ซิงเลต ออกซิเจน
จัดเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นตัวทำลายความสวยงามของผู้หญิงได้เป็นอย่างมากเพราะทำให้เกิดโรคร้ายต่อผิวหนังอย่างมะเร็งผิวหนัง อนุมูลอิสระชนิดนี้เกิดจากร่างกายได้รับแสง UV และรังสี X ทำให้เกิดออกซิเดชั่นอย่างรุนแรง
3.ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
เป็นอนุมูลอิสระที่ไม่เสถียรอย่างมาก จะปล่อยอิเล็คตรอน ออกมาและมีพิษอย่างรุนแรง แต่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์โดยทำเป็นยาฆ่าเชื้อโรคและน้ำยาซักผ้าขาวได้
4.ซูเปอร์ออกไซด์
เป็นอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในร่างกายเรา เพราะเกิดจากการออกซิเจนของร่างกายเรานั่นเอง จึงทำให้เกิดการออกซิเดชั่นขึ้น และทำร้ายร่างกายของเราไปเรื่อยๆทำให้เสื่อมโทรมนั่นเอง
การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์นั้นนอกจากร่างกายที่แข็งแรงแล้วยังทำให้ผิวพรรณ ของคุณเปล่งปลั่งและยังสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย นอกจากนี้คุณต้องเลิกสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เพื่อห่างไกลจากอนุมูลอิสระที่คอยทำร้ายร่างกายของคุณ
03 July, 2009
สูตรทำใบหน้านุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้ง
สูตรทำใบหน้านุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้ง
อุปกรณ์ที่ใช้
1.น้ำผึ้งแท้
2.ช้อน
3.โถเคลือบหรือภาชนะที่ทนไฟ
4.ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผม
วิธีทำ
1.ล้างหน้าให้สะอาดอาจจะล้างด้วยน้ำอุ่นๆจะดีที่สุด
2.ใช้ผ้าขนหนุซับหน้าให้แห้ง
3.ใช้ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผมเก็บให้เรียบร้อย
4.ใส่น้ำผึ้งลงในโถเคลือบหรือภาชนะทนไฟนำไปอุ่นบนเตา ไม่ต้องร้อนเอาแค่อุ่นๆ
5.ใช้มือที่สะอาด โดยใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางแตะน้ำผึ้งี่อุ่น ทาลงบนผิวหน้าโดยเริ่มจากหน้าผากก่อน ทาให้ทั่วหน้าผากใช้ปลายนิ้วเกลี่ยคลึงเบา จากนั้นทาที่แก้มซ้าย-ขวาไล่ไปที่จมูก ริมฝีปากและคาง โดยทำเช่นเดียวกับที่หน้าผากคือ ใช้ปลายนิ้วคลึงๆเบาๆ เสร็จแล้วพักหน้าไว้สัก 40 นาที
6.ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นหรือ โฟมล้างหน้าจนใบหน้าสะอาดน้ำผึ้งจะช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณ นุ่มนวล ควรทำเป็นประจำเพื่อผิวที่นุ่มชุ่มชื่น และสุขภาพผิวที่ดี
02 July, 2009
สูตรล้างพิษ 1 วัน
สูตรล้างพิษ 1 วัน หรือการทำดีท็อกซ์ เป็นสูตรล้างพิษที่สามารถทำใช้ได้เองที่บ้านง่ายๆ คุณก็สามารถทำได้เอง ทดลองทำตามได้ เพื่อขจัดสารพิษที่ตกค้างสะสมมานานในร่างกายของคุณ เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีของคุณคืนกลับมา
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลแคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ตับจะขับสารพิษออกมาและ อาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลแคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ตับจะขับสารพิษออกมาและ อาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด
ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2อย่างคือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี สูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้า เลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ(มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอ กับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยๆ ที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาว ลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็ก ส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษ ถูกขับออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้า ไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษไม่ได้ผล
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1.ขวดใส่น้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
2.มะนาว 4 ลูก
3.เกลือป่น 2ช้อนชา (ห้ามใช้เกลือไอโอดีน)
วิธีทำ
ใส่น้ำให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก เกลือ 1 ช้อนชา เขย่า ให้เข้ากัน
มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูด ซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระหลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น คือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
ควรทำเป็นประจำ 2 อาทิตย์/หนึ่งครั้ง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูด ซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระหลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น คือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
ควรทำเป็นประจำ 2 อาทิตย์/หนึ่งครั้ง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
01 July, 2009
ลดน้ำหนัก สูตรพระเทพ
ลดน้ำหนัก สูตรพระเทพ
สูตรนี้เป็นสูตรพระราชทาน ที่ใครๆหลายๆคนการันตี ว่าทำแล้วได้ผล เป็นสูตรที่โด่งดังมาก ทดลองทำตามดูได้ เพราะไม่ยุ่งยากอะไร
วันแรกเช้า
- เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
-กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
-เย็น สลัดผัก
วันที่ 2
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
-เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย
วันที่ 3
-เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
-กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
-เย็น สับปะรด 1 ชิ้น
วันที่ 4
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟและขนมปัง 1 แผ่น
-กลางวัน สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
-เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย
วันที่ 5
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
-เย็น สลัดผัก
วันที่ 6
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ปลานึ่ง หรือ ปลาเผาไม่จำกัด
-เย็น นมสด 1 แก้ว
วันที่ 7
-เช้า ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1 ฟอง
-กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
-เย็น สับปะรด 1 ชิ้น
ใครทำตามแล้ว ลดน้ำหนักได้ผลยังไงก็บอกต่อๆกันไปด้วยนะ
สูตรนี้เป็นสูตรพระราชทาน ที่ใครๆหลายๆคนการันตี ว่าทำแล้วได้ผล เป็นสูตรที่โด่งดังมาก ทดลองทำตามดูได้ เพราะไม่ยุ่งยากอะไร
วันแรกเช้า
- เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
-กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
-เย็น สลัดผัก
วันที่ 2
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
-เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย
วันที่ 3
-เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
-กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
-เย็น สับปะรด 1 ชิ้น
วันที่ 4
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟและขนมปัง 1 แผ่น
-กลางวัน สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
-เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย
วันที่ 5
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
-เย็น สลัดผัก
วันที่ 6
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ปลานึ่ง หรือ ปลาเผาไม่จำกัด
-เย็น นมสด 1 แก้ว
วันที่ 7
-เช้า ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1 ฟอง
-กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
-เย็น สับปะรด 1 ชิ้น
ใครทำตามแล้ว ลดน้ำหนักได้ผลยังไงก็บอกต่อๆกันไปด้วยนะ
30 June, 2009
สูตรบำรุงผิวหน้าหรือผิวที่ตากแดดด้วยแครอท
สูตรบำรุงผิวหน้าหรือผิวที่ตากแดดด้วยแครอทสูตรนี้ใช้ได้กับผิวหน้าและผิวตัวจะทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้น
ส่วนประกอบ
1.แครอท 5 หัว
2.เครื่องปั่นผลไม้
3.ช้อนกับส้อม
4.อ่างใบเล็ก
5.ที่คาดผม หรือหมวกคลุมผม
6.ผ้าขนหนูสำหรับซับหน้า
7.มีด
ขั้นตอนกรทำ
1.ล้างแครอทให้สะอาด โดยใช้ช้อนครูดผิวให้สะอาดแต่ไม่ต้องปอกเปลือก
2.ใช้มีดหั่นแครอทเป็นแว่นๆแล้วนำมาปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีมเนียนๆ
3.ล้างหน้าให้สะอาดและคาดผมหรือคลุมผมให้เรียบ
4.นำแครอทที่ปั่นละเอียดมาพอกหน้าให้ทั่ว หรืออาจจะทาทั้งตัวจนทั่วก็ได้ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆกับสบู่ จนสะอาด ให้ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจะทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้น
ส่วนประกอบ
1.แครอท 5 หัว
2.เครื่องปั่นผลไม้
3.ช้อนกับส้อม
4.อ่างใบเล็ก
5.ที่คาดผม หรือหมวกคลุมผม
6.ผ้าขนหนูสำหรับซับหน้า
7.มีด
ขั้นตอนกรทำ
1.ล้างแครอทให้สะอาด โดยใช้ช้อนครูดผิวให้สะอาดแต่ไม่ต้องปอกเปลือก
2.ใช้มีดหั่นแครอทเป็นแว่นๆแล้วนำมาปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีมเนียนๆ
3.ล้างหน้าให้สะอาดและคาดผมหรือคลุมผมให้เรียบ
4.นำแครอทที่ปั่นละเอียดมาพอกหน้าให้ทั่ว หรืออาจจะทาทั้งตัวจนทั่วก็ได้ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆกับสบู่ จนสะอาด ให้ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจะทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้น
24 April, 2009
วิธีแก้ฝ้า แก้กระ และกำจัดสิวเสี้ยน
วิธีแก้ฝ้า แก้กระ
เป็นฝ้า หรือตกกระเป็นสิ่งที่สาวๆกลัวกันมากเพราะจะทำให้หน้าหมองคล้ำไม่น่ามอง มาดูวิธีง่ายๆที่ใช้ในการแก้ฝ้าและกระ สามารถทำเองที่บ้านได้ ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้าของคุณ
ส่วนผสม
1. หัวไชเท้า 1/2 หัวเล็ก
2. น้ำมะนาว 1-2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ล้างหัวไชเท้าให้สะอาด แล้วปอกเปลือก ขุดให้ละเอียดแล้วเติมน้ำมะนาว คนให้เข้ากัน
2. ล้างหน้าให้สะอาดซับหน้าให้แห้ง
3. นำส่วนผสมที่เราเตรียมไว้ มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า กระ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
4. ล้างออกด้วยน้ำสะอาดบำรุงผิวด้วยสูตรนี้เป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ฝ้าและกระจะค่อยๆจางลง โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอาง ราคาแพง สูตรนี้ทั้งประหยัดและปลอดภัย
สูตรกำจัดสิวเสี้ยน
เป็นสิวอย่าบีบสิวเพราะจะทำให้หน้าอักเสบเกิดริ้วรอย เป็นหลุมเป็นบ่อ มาดูวิธีกำจัดสิวเสี้ยนกัน
ส่วนผสม
1. ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 1 ฟอง
2. น้ำอุ่น
3. สำลีชนิดแผ่น
วิธีทำ
1. ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เช็ดทำความสะอาดผิวหน้า
2. ใช้ปลายนิ้วแตะ ไข่ขาวทาบางๆให้ทั่วใบหน้า เสร็จแล้วห้ามขยับเขยื้อนใบหน้า
3. จากนั้นนำสำลีชนิดแผ่นมาแปะลงบนใบหน้าให้ทั่ว
4. รอจนรู้สึกว่าแห้งตึงที่ผิวหน้า จึงค่อยๆแกะลอกสำลีออก จะพบว่ามีสิวเสี้ยนหลุดติดสำลีออกมาด้วย
5. ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน
ทำเป็นปะจำจะช่วยลดปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนไปได้ทำให้หน้าเนียนใส
ทำเป็นปะจำจะช่วยลดปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนไปได้ทำให้หน้าเนียนใส
22 April, 2009
โปรแกรมการล้างพิษ ด้วยน้ำผักและน้ำผลไม้ 3 วัน
โปรแกรมการล้างพิษ ด้วยน้ำผักและน้ำผลไม้ 3 วัน
โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมการล้างพิษ สูตรมาตรฐานที่นิยมใช้กันทั่วโลกผู้ปฏิบัติต้องอดอาหาร 3 วันแล้วดื่มแต่น้ำผลไม้ตลอด 3 วันเต็ม สูตรการล้างพิษนี้นอกจากจะล้างพิษออกจากร่างกายแล้ว ยังช่วยให้น้ำหนักลดได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักควบคู่ไปด้วย
โปรแกรมมีดังนี้
วันที่ 1.
เช้า ดื่มน้ำลูกพรุน 1 แก้ว
สาย ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำแร่ 2 แก้ว
กลางวัน ดื่มน้ำลูกพรุน 1 แก้ว
บ่าย ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำแร่ 2 แก้ว
เย็น ดื่มน้ำสะอาด
ค่ำ ดื่มน้ำลูกพรุน 1 แก้ว
วันที่ 2.
เช้า ดื่มน้ำสะอาด
สาย ดื่มน้ำแร่ ฝานมะนาวใส่ 1 ชิ้น 1-2 แก้ว
กลางวัน ดื่มน้ำสะอาด
บ่าย ดื่มน้ำองุ่นคั้นสด 1-2 แก้ว
เย็น ดื่มน้ำองุ่นคั้นสด 1-2 แก้ว
ค่ำ ดื่มน้ำแร่ ฝานมะนาวใส่ 1 ชิ้น 1-2 แก้ว
วันที่ 3.
เช้า ดื่มน้ำแอปเปิ้ล 1 แก้ว
สาย ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำแร่ 1 แก้ว
กลางวัน ดื่มน้ำ 2 แก้ว
บ่าย ดื่มน้ำแอปเปิ้ล 1 แก้ว
เย็น ดื่มน้ำ 2 แก้ว
ค่ำ ดื่มน้ำแอปเปิ้ล 1 แก้ว
สูตรการล้างพิษนี้จะทำให้รู้สึกหิวต้องพยายามห้ามใจตัวเองให้ได้ เพื่อสุขภาพกายที่ดี ของคุณ
20 April, 2009
เคล็ดลับการเลือกโฟมล้างหน้า
เคล็ดลับการเลือกโฟมล้างหน้า
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราต้องใช้เป็นประจำ ก็คือ โฟมล้างหน้า หรือสบู่ล้างหน้า ซึ่งจะช่วยชะล้างความสกปรก ฝุ่นละออง และกำจัดน้ำมันส่วนเกินบริเวณใบหน้าออกไป ทำให้ใบหน้าของเราปราศจากสิ่งตกค้างหรือความสกปรกที่อาจอุดตัน สิ่งจะให้เราเป็นสิว เกิดตะปุ่มตะป่ำ อีกทั้งเมื่อสิวหาย ก็ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหากอีกต่างหาก ในช่วงเวลาที่อายุมากขึ้น เราจำเป็นต้องสรรหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะกับตัวเรา โดยเฉพาะในช่วงที่อายุของเราขึ้นเลขสาม ซึ่งเป็นวัยที่เราจะต้องทำความสะอาดผิวหน้าของเราเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ผิวหน้าของเรามีริ้วรอยต่างๆ ซึ่งมีคำกล่าวไว้ว่า การล้างหน้าดีๆ ก็สามารถทำให้หน้าอ่อนเยาว์ได้แล้ว เราจึงนำเคล็ดลับเรื่องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เพื่อใบหน้าที่อ่อนเยาว์มาฝากกัน ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้าที่หลายประเภท ทั้ง เจล โฟม ครีม หรือสบู่ก้อน ซึ่งในปัจจุบันเราจะเลือกโฟมล้างหน้าที่เป็นแบบเหลว มากกว่าแบบก้อน เพราะสะดวกต่อการพกพามากกว่า แต่ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าทั้งหมดนี้ยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั้นคือ แบบมีฟอง และแบบไม่มีฟอง
ล้างหน้าแบบมีฟอง กับไม่มีฟอง
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้าปกติจะช่วยกำจัดคราบมันบนผิวหน้าออกไป ซึ่งชนิดมีฟองจะมีประจุลบอยู่ ซึ่งหากว่าไปจับอยู่กับสารที่มีประจุบวกบนใบหน้าแล้วตกค้างอยู่ ก็จะทำให้หน้าเป็นสิว หรือมีริ้วรอย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวหน้าแห้งตึงมากกว่าชนิดแบบที่ไม่มีฟอง ดังนั้นขอแนะนำให้ใช้แบบไม่มีฟองจะดีกว่า เพราะว่าไม่มีประจุไฟฟ้าที่ทำให้เป็นสาเหตุของการตกค้างของสิ่งต่างๆ บนใบหน้า และไม่ทำให้หน้าของเรามีปัญหาตามมาด้วย นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดีควรมีคุณสมบัติ หรือว่ามีส่วนผสมของสารดังต่อไปนี้
มอยส์เจอไรเซอร์
มอยส์เจอไรเซอร์ เป็นตัวที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งเมื่อเราล้างหน้าไปแล้วนั้น ใบหน้าของเราจะสูญเสียความชุ่มชื้นที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เราเลยต้องเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าเรา ยกเว้นแต่ว่าเราเป็นคนผิวมัน เราก็ควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ
มีวิตามินอีหรือซี
ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอีหรือซี ต่างก็เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงผิว ลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำต่างๆ ทำให้ใบหน้าของเรากระจ่างใสยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อเลือกซื้อ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าก็ควรจะเลือกซื้อสูตรที่สามารถบำรุงผิวพรรณของเราขณะที่ล้างหน้าไปด้วยในตัว
สำรวจคำว่า Hypo-allergenic
เมื่อจะซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับหน้าทุกครั้งให้ตรวจสอบดูว่ามีคำว่า Hypo-allergenic หรือไม่ เพราะถ้ามีคำนี้ แสดงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีสารที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้ เพราะได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว
ค่าความเป็นกรด-ด่าง
ค่าที่เหมาะสมกับผิวหน้าของเราอยู่ที่ประมาณ 0.5-5.5 ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างบริเวณใบหน้าของเรามากที่สุด
สำรวจคำว่า Non –Comedogenic
ถ้ามีคำนี้ แสดงว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่มีสารที่ทำให้มีสิ่งตกค้างเหลืออุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดสิว ดังนั้นหากว่าเราไม่อยากจะเป็นสิวก็ต้องจำคำนี้เอาไว้ เคล็ดลับง่ายๆ ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแค่นี้ก็จะช่วยให้เรามีใบหน้าที่สวยใสไร้สิว ไร้จุดด่างดำ เหมือนกับผิวแรกสาวได้แล้ว
11 April, 2009
โปรแกรมลดน้ำหนักภายใน 7 วัน
โปรแกรมลดน้ำหนักภายใน 7 วัน
การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่หลายคนอยากทำแต่พอเอาเข้าจริงกลับทำไม่สำเร็จสักที ต้องอยู่ที่ความตั้งใจและบังคับตัวเองให้ได้ว่าจะต้องลดให้ได้และทำให้สำเร็จ
และเมื่อทำได้แล้วต้อง ควบคุมเรื่องอาหารและออกกำลังกายเพื่อไม่ให้กลับไปอ้วนอีกครั้ง เพื่อการมีรูปร่างที่สวยงามและมีสุขภาพดี โปรแกรมลดน้ำหนักภายใน 7 วันนี้
หากร่างกายไม่พร้อมหรือสุขภาพไม่ดีไม่แนะนำให้ทำตาม
วันที่1.
ตื่นนอน ตอนเช้าให้ออกกำลังกายเบาๆเป็นการเริ่มเช้าวันใหม่อย่างสดชื่น กระโดดตบเบาๆสัก 20 ครั้ง หรือบริหารร่างกายส่วนต่างๆ
มื้อเช้า วันนี้เริ่มด้วยน้ำผลไม้สดๆตามที่ชอบสักแก้ว อย่าใช้ผลไม้หวานๆ พร้อมกับแซนวิชทูน่าขนมปังโฮลวีต
มื้อกลางวัน ส้มตำรสไม่จัดมาก ใส่พริกพอเหมาะเพิ่มวิตามินซีให้ร่างกาย งดน้ำตาล ใส่น้ำปลาแต่น้อย ไม่มีข้าวเหนียว หรือของกินอย่างอื่น ปิดท้ายด้วยน้ำผลไม้
มื้อเย็น หากกลับถึงบ้านเร็ว ก็กินซุปผักรองท้องก่อน พร้อมกับน้ำเปล่าแก้วใหญ่
เย็น หลังจากอาหารย่อยแล้วก็ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเอง
วันที่2.
เช้า ตอนเช้าให้ออกกำลังกายเบา ก่อนกินอาหารเช้า
มื้อเช้า ดื่มนมสดพร่องมันเนย หรืออาหารประเภทซีเรียลราดด้วยนมพร่องมันเนย
มื้อกลางวัน กินปลาเปล่าๆเพื่อเพิ่มโปรตีนให้แก่ร่างกายและลดปริมาณแคลอรี่ พร้อมกับน้ำผลไม้สดๆ 1 แก้ว
มื้อเย็น กระตุ้นการขับถ่ายด้วยการกินผลไม้ที่ชอบ แต่ยกเว้นผลไม้รสหวานเช่น ฝรั่ง ส้ม ชมพู่ สับปะรด
เย็น ออกวิ่งจ๊อกกิ้งสักเล็กน้อย เพื่อร่างกายที่แข็งแรง
วันที่3.
เช้า ออกกำลังกายเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
มื้อเช้า นมพร่องมันเนยกินกับขนมปังโฮลวีต
มื้อกลางวัน กินน้ำพริกกับผักต้มเพิ่มข้าวนิดหน่อยเพื่อป้องกันร่างการขาดคาร์โบไฮเดรต แต่อย่ามากเกินไป ปิดท้ายด้วยนมสับปะรดคั้นสด
เย็น เต้นแอโรบิคเพื่อเผาผลาญพลังงาน
มื้อเย็น ยำวุ้นเส้นรสไม่จัด แตงโม น้ำเปล่า 1 แก้ว
วันที่ 4.
เข้า ออกวิ่งเบาๆเพื่อให้ร่างกายสดชื่น
มื้อเช้า ซุปปลาเมนูดัดแปลงเพื่อการลดน้ำหนัก พร้อมกับผลไม้ 2-3 ลูก น้ำเปล่า 1 แก้ว
มื้อกลางวัน สุกี้ยากี้เน้นผัก พร้อมกับน้ำผลไม้ 1 แก้ว น้ำเปล่า 1 แก้ว
เย็น ออกำลังกายด้วยการว่ายน้ำเพื่อเผาผลาญแคลอรี่
มื้อเย็น สลัดผัก โดยใช้น้ำสลัดไม่มีไขมัน และดื่มนมพร่องมันเนย 1 แก้วเพื่อเพิ่มโปรตีนให้ร่างกาย
วันที่ 5.
เช้า บริหารร่างกายอยู่บนเตียงก่อนลุกขึ้น
มื้อเช้า แกงจืดวุ้นเส้นเปล่าๆ ตบท้ายด้วยน้ำฝรั่งคั้นสด เป็นการเพิ่มวิตามินให้ร่างกาย
มื้อกลางวัน โยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมัน 0% แอปเปิ้ล 1 ลูก สลัดทูน่า 1 จาน
เย็น ออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน 1 ชั่วโมง
มื้อเย็น ผลไม้ 1 จานราดด้วย โยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมัน 0% พร้อมกับดื่มน้ำสับปะรด 1 แก้ว
วันที่ 6.
เช้า ออกกำลังกายยามเช้า เพื่อความสดชื่น
มื้อเช้า ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพ ครึ่งทัพพี แกงจืดตำลึงร้อนๆ ปิดท้ายด้วยน้ำแครอทคั้นสด
มื้อกลางวัน เกาเหลาลูกชิ้นปลาใส่ผักเยอะๆรสไม่จัด ไม่ต้องใส่น้ำตาล น้ำปลา ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว
เย็น ออกำลังกายเผาผลาญพลังงาน
มื้อเย็น สลัดผักหลากสี เขียว ขาว เหลือง ราดด้วยน้ำสลัดใส พร้อมกับดื่มนมพร่องมันเนย
วันที่ 7.
เช้า ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร
มื้อเช้า ปลานึ่งกับข้าวกล้องเล็กน้อย เน้นปลามากกว่าข้าว แตงโม ปิดท้ายด้วยน้ำส้มคั้น 1 แก้ว
มื้อกลางวัน ยำผลไม้ราดโยเกิร์ตสักจาน ปิดท้ายด้วยน้ำสมุนไพร เพื่อช่วยระบบการเผาผลาญพลังงาน
เย็น เต้นแอโรบิค
มื้อเย็น น้ำพริกผักต้ม ไม่ควรกินข้าวในมื้อเย็นให้กินข้าวโพดครึ่งฝักแทน ตามด้วยน้ำผลไม้ที่ชอบ 1 แก้ว
โปรแกรมการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนนี้จะทำให้รู้สึกหิว ต้องห้ามใจให้ได้เพื่อหุ่นสวยและสุขภาพดี ถ้าอดใจไม่ไหวให้กินผักผลไม้แทนข้าว
การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่หลายคนอยากทำแต่พอเอาเข้าจริงกลับทำไม่สำเร็จสักที ต้องอยู่ที่ความตั้งใจและบังคับตัวเองให้ได้ว่าจะต้องลดให้ได้และทำให้สำเร็จ
และเมื่อทำได้แล้วต้อง ควบคุมเรื่องอาหารและออกกำลังกายเพื่อไม่ให้กลับไปอ้วนอีกครั้ง เพื่อการมีรูปร่างที่สวยงามและมีสุขภาพดี โปรแกรมลดน้ำหนักภายใน 7 วันนี้
หากร่างกายไม่พร้อมหรือสุขภาพไม่ดีไม่แนะนำให้ทำตาม
วันที่1.
ตื่นนอน ตอนเช้าให้ออกกำลังกายเบาๆเป็นการเริ่มเช้าวันใหม่อย่างสดชื่น กระโดดตบเบาๆสัก 20 ครั้ง หรือบริหารร่างกายส่วนต่างๆ
มื้อเช้า วันนี้เริ่มด้วยน้ำผลไม้สดๆตามที่ชอบสักแก้ว อย่าใช้ผลไม้หวานๆ พร้อมกับแซนวิชทูน่าขนมปังโฮลวีต
มื้อกลางวัน ส้มตำรสไม่จัดมาก ใส่พริกพอเหมาะเพิ่มวิตามินซีให้ร่างกาย งดน้ำตาล ใส่น้ำปลาแต่น้อย ไม่มีข้าวเหนียว หรือของกินอย่างอื่น ปิดท้ายด้วยน้ำผลไม้
มื้อเย็น หากกลับถึงบ้านเร็ว ก็กินซุปผักรองท้องก่อน พร้อมกับน้ำเปล่าแก้วใหญ่
เย็น หลังจากอาหารย่อยแล้วก็ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเอง
วันที่2.
เช้า ตอนเช้าให้ออกกำลังกายเบา ก่อนกินอาหารเช้า
มื้อเช้า ดื่มนมสดพร่องมันเนย หรืออาหารประเภทซีเรียลราดด้วยนมพร่องมันเนย
มื้อกลางวัน กินปลาเปล่าๆเพื่อเพิ่มโปรตีนให้แก่ร่างกายและลดปริมาณแคลอรี่ พร้อมกับน้ำผลไม้สดๆ 1 แก้ว
มื้อเย็น กระตุ้นการขับถ่ายด้วยการกินผลไม้ที่ชอบ แต่ยกเว้นผลไม้รสหวานเช่น ฝรั่ง ส้ม ชมพู่ สับปะรด
เย็น ออกวิ่งจ๊อกกิ้งสักเล็กน้อย เพื่อร่างกายที่แข็งแรง
วันที่3.
เช้า ออกกำลังกายเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
มื้อเช้า นมพร่องมันเนยกินกับขนมปังโฮลวีต
มื้อกลางวัน กินน้ำพริกกับผักต้มเพิ่มข้าวนิดหน่อยเพื่อป้องกันร่างการขาดคาร์โบไฮเดรต แต่อย่ามากเกินไป ปิดท้ายด้วยนมสับปะรดคั้นสด
เย็น เต้นแอโรบิคเพื่อเผาผลาญพลังงาน
มื้อเย็น ยำวุ้นเส้นรสไม่จัด แตงโม น้ำเปล่า 1 แก้ว
วันที่ 4.
เข้า ออกวิ่งเบาๆเพื่อให้ร่างกายสดชื่น
มื้อเช้า ซุปปลาเมนูดัดแปลงเพื่อการลดน้ำหนัก พร้อมกับผลไม้ 2-3 ลูก น้ำเปล่า 1 แก้ว
มื้อกลางวัน สุกี้ยากี้เน้นผัก พร้อมกับน้ำผลไม้ 1 แก้ว น้ำเปล่า 1 แก้ว
เย็น ออกำลังกายด้วยการว่ายน้ำเพื่อเผาผลาญแคลอรี่
มื้อเย็น สลัดผัก โดยใช้น้ำสลัดไม่มีไขมัน และดื่มนมพร่องมันเนย 1 แก้วเพื่อเพิ่มโปรตีนให้ร่างกาย
วันที่ 5.
เช้า บริหารร่างกายอยู่บนเตียงก่อนลุกขึ้น
มื้อเช้า แกงจืดวุ้นเส้นเปล่าๆ ตบท้ายด้วยน้ำฝรั่งคั้นสด เป็นการเพิ่มวิตามินให้ร่างกาย
มื้อกลางวัน โยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมัน 0% แอปเปิ้ล 1 ลูก สลัดทูน่า 1 จาน
เย็น ออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน 1 ชั่วโมง
มื้อเย็น ผลไม้ 1 จานราดด้วย โยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมัน 0% พร้อมกับดื่มน้ำสับปะรด 1 แก้ว
วันที่ 6.
เช้า ออกกำลังกายยามเช้า เพื่อความสดชื่น
มื้อเช้า ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพ ครึ่งทัพพี แกงจืดตำลึงร้อนๆ ปิดท้ายด้วยน้ำแครอทคั้นสด
มื้อกลางวัน เกาเหลาลูกชิ้นปลาใส่ผักเยอะๆรสไม่จัด ไม่ต้องใส่น้ำตาล น้ำปลา ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว
เย็น ออกำลังกายเผาผลาญพลังงาน
มื้อเย็น สลัดผักหลากสี เขียว ขาว เหลือง ราดด้วยน้ำสลัดใส พร้อมกับดื่มนมพร่องมันเนย
วันที่ 7.
เช้า ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร
มื้อเช้า ปลานึ่งกับข้าวกล้องเล็กน้อย เน้นปลามากกว่าข้าว แตงโม ปิดท้ายด้วยน้ำส้มคั้น 1 แก้ว
มื้อกลางวัน ยำผลไม้ราดโยเกิร์ตสักจาน ปิดท้ายด้วยน้ำสมุนไพร เพื่อช่วยระบบการเผาผลาญพลังงาน
เย็น เต้นแอโรบิค
มื้อเย็น น้ำพริกผักต้ม ไม่ควรกินข้าวในมื้อเย็นให้กินข้าวโพดครึ่งฝักแทน ตามด้วยน้ำผลไม้ที่ชอบ 1 แก้ว
โปรแกรมการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนนี้จะทำให้รู้สึกหิว ต้องห้ามใจให้ได้เพื่อหุ่นสวยและสุขภาพดี ถ้าอดใจไม่ไหวให้กินผักผลไม้แทนข้าว
06 April, 2009
สูตรพอกหน้าทำใช้เอง
วันนี้อยากแนะนำสูตรพอกหน้าดีๆที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน ไม่เป็นอันตรายต่อผิวเพราะทุกอย่างได้จากธรรมชาติทั้งดีต่อผิวและประหยัดไม่ต้องซื้อมาสก์ราคาแพงๆทดลองทำดูได้ส่วนผสมก็ง่าย ไม่เปลืองเวลา
สูตรพอกหน้าสำหรับผิวผสม
ส่วนประกอบ
แอปเปิ้ล 1 ผล
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
นมจืด 2 ช้อนชา
วิธีปฏิบัติ
1. ล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำเข้าเครื่องปั่น พร้อมกับส่วนผสมอื่นๆ ปั่นให้ละเอียด
2. ล้างหน้าให้สะอาด พร้อมกับซับหน้าให้แห้ง
3. พอกหน้าด้วยส่วนผสมที่ทำไว้ ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 15-20 นาที
4. ใช้นำอุ่นล้างทำความสะอาด แล้วตามด้วยน้ำเย็นซ้ำอีกครั้ง
สูตรพอกหน้าสำหรับผิวแห้ง
ส่วนประกอบ
แอปเปิ้ล 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
นมจืดแช่เย็น 2 ถ้วย
วิธีปฏิบัติ
1. ล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำเข้าเครื่องปั่น พร้อมกับน้ำผึ้ง ปั่นให้ละเอียด
2. ล้างหน้าให้สะอาด พร้อมกับซับหน้าให้แห้ง
3. พอกหน้าด้วยส่วนผสมที่ทำไว้ ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 15-20 นาที จากนั้นนำนมที่แช่เย็นออกมาล้างหน้า แล้วจึงล้างด้วยน้ำเย็นตามเป็นขั้นตอนสุดท้าย
สูตรลดความมันบนใบหน้า
ส่วนประกอบ
นมสด 1/2 ถ้วย
ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 1 ฟอง
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
วิธีปฏิบัติ
1.นำส่วนผสมตีเข้าด้วยกัน จนเป็นเนื้อเดียว
2. ล้างหน้าให้สะอาด ซับหน้าให้แห้ง
3. ใช้ปลายนิ้วแตะส่วนผสม ทาให้ทั่วใบหน้าจนรู้สึกชุ่มชื้น
4. ห้ามขยับใบหน้าจนกระทั่งรู้สึกแห้งตึง
5. ใช้น้ำอุ่นล้างออก แล้วตามด้วยน้ำเย็น
สูตรพอกหน้าดีๆใช้แล้วได้ผลยังไงอย่าลืมแนะนำเพื่อนต่อด้วยนะจ๊ะ
25 March, 2009
เคล็ดลับ สวยใน 4 สัปดาห์
เคล็ดลับ สวยใน 4 สัปดาห์
เคล็ดลับสวยใน 4 สัปดาห์นี้จะทำให้คุณดูดีทั้งด้านสุขภาพกายและผิวพรรณ ทดลองปฏิบัติตามได้ดังนี้
สัปดาห์ที่ 1.
เคล็ดลับสวยใน 4 สัปดาห์นี้จะทำให้คุณดูดีทั้งด้านสุขภาพกายและผิวพรรณ ทดลองปฏิบัติตามได้ดังนี้
สัปดาห์ที่ 1.
ดื่มนมถั่วเหลือง 3 ครั้ง/สัปดาห์
อาบน้ำขัดตัวด้วยใยบวบ มาสก์ผิวหน้าและผิวตัวด้วย สับปะรดผสมน้ำผึ้ง
ขัดข้อศอก หัวเข่า มือและเท้า ด้วยมะนาว
กินปลา 3 ครั้ง ในสัปดาห์
ดีท็อกซ์ 1 วันด้วยการงดอาหารพวกแป้งและเนื้อสัตว์ กินแต่น้ำผักน้ำผลไม้ หรือผักต้มและผลไม่สดตลอดวัน
เต้นแอร์โรบิค ประมาณ 40 นาทีหรือ อาจฝึกโยคะ 50-60 นาที 3 ครั้งในสัปดาห์
จ็อกกิ้ง หรือเดินเร็วๆ 50-60 นาทีในสัปดาห์
ดื่มน้ำ 8 แก้ว/วัน
กินผักและเมนูผักทุกๆวัน
นอนหลับพักผ่อน 6-8 ชั่วโมง/วัน
สัปดาห์ที่ 2.
กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล สัก 4-5 วัน ในสัปดาห์
ลดอาหารรสจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารไขมันสูง
กินธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง หรือ ลูกเกด
กินแกงจืดเต้าหู้หรือสลัดผัก
ขัดเท้าด้วยน้ำมันมะกอกกับน้ำตาลทราย
ขัดตัวด้วยรำข้าวกับโยเกิร์ต หรือ ข้าวโอ๊ตผสมน้ำผึ้ง
ขัดหน้าด้วยโยเกิร์ตกับข้าวโอ๊ต
บริหารร่างกาย วันละ 40 นาที 3 วันในสัปดาห์
วิ่งจ็อกกิ้ง 2 วันๆละ 30-40 นาที
นั่งสมาธิ หมักผมด้วยน้ำมันมะกอก 10 นาทีแล้วล้างออก
สัปดาห์ที่ 3.
กินโยเกิร์ตเป็นอาหารเช้า หรือระหว่างมื้อถ้ารู้สึกหิว
กินตับสัตว์ 2 ครั้งในสัปดาห์ โดย ปิ้ง ย่าง หรือ ผัด
กินฟักทอง ปลาเล็กปลาน้อย
จัดให้มีเมนูผักตลอดทั้งสัปดาห์
ดีท็อกซ์ 1 วันด้วยการดื่มแต่น้ำผักผลไม้
เต้นแอร์โรบิค 60 นาที 2 วันในสัปดาห์
ฝึกโยคะ 2 วันๆละ 40-60 นาที
นวดตัวเพื่อผ่อนคลาย และกระตุ้นผิวทั่วร่างกาย
หลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำเปล่า จิบบ่อยๆตลอดวัน
ชโลมผิวด้วยครีมบำรุงทั่วตัวทั้งลำคอ แขน ขา
สัปดาห์ที่ 4.
กินอาหารทะเล กินปลา กินโยเกิร์ต
ดื่มนมถั่วเหลือง
กินแอปเปิ้ลทุกวันๆละ 1 ผล
ใช้แตงกวาฝานบางๆแช่เย็น แปะรอบดวงตาแล้วนอนหลับสัก 15 นาที ค่อยล้างออก
ออกกำลังกายด้วยการเดิน 60 นาที 3 ครั้งในสัปดาห์
กินสลัดผักแทนอาหารมื้อเย็น 3 วันในสัปดาห์
เข้านอนแต่วันตื่นเช้าตรู่
หากทำได้ดังเคล็ดลับนี้จะช่วยให้คุณดูดี และมีสุขภาพผิวพรรณที่ดีขึ้นภายใน 4 สัปดาห์
อาบน้ำขัดตัวด้วยใยบวบ มาสก์ผิวหน้าและผิวตัวด้วย สับปะรดผสมน้ำผึ้ง
ขัดข้อศอก หัวเข่า มือและเท้า ด้วยมะนาว
กินปลา 3 ครั้ง ในสัปดาห์
ดีท็อกซ์ 1 วันด้วยการงดอาหารพวกแป้งและเนื้อสัตว์ กินแต่น้ำผักน้ำผลไม้ หรือผักต้มและผลไม่สดตลอดวัน
เต้นแอร์โรบิค ประมาณ 40 นาทีหรือ อาจฝึกโยคะ 50-60 นาที 3 ครั้งในสัปดาห์
จ็อกกิ้ง หรือเดินเร็วๆ 50-60 นาทีในสัปดาห์
ดื่มน้ำ 8 แก้ว/วัน
กินผักและเมนูผักทุกๆวัน
นอนหลับพักผ่อน 6-8 ชั่วโมง/วัน
สัปดาห์ที่ 2.
กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล สัก 4-5 วัน ในสัปดาห์
ลดอาหารรสจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารไขมันสูง
กินธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง หรือ ลูกเกด
กินแกงจืดเต้าหู้หรือสลัดผัก
ขัดเท้าด้วยน้ำมันมะกอกกับน้ำตาลทราย
ขัดตัวด้วยรำข้าวกับโยเกิร์ต หรือ ข้าวโอ๊ตผสมน้ำผึ้ง
ขัดหน้าด้วยโยเกิร์ตกับข้าวโอ๊ต
บริหารร่างกาย วันละ 40 นาที 3 วันในสัปดาห์
วิ่งจ็อกกิ้ง 2 วันๆละ 30-40 นาที
นั่งสมาธิ หมักผมด้วยน้ำมันมะกอก 10 นาทีแล้วล้างออก
สัปดาห์ที่ 3.
กินโยเกิร์ตเป็นอาหารเช้า หรือระหว่างมื้อถ้ารู้สึกหิว
กินตับสัตว์ 2 ครั้งในสัปดาห์ โดย ปิ้ง ย่าง หรือ ผัด
กินฟักทอง ปลาเล็กปลาน้อย
จัดให้มีเมนูผักตลอดทั้งสัปดาห์
ดีท็อกซ์ 1 วันด้วยการดื่มแต่น้ำผักผลไม้
เต้นแอร์โรบิค 60 นาที 2 วันในสัปดาห์
ฝึกโยคะ 2 วันๆละ 40-60 นาที
นวดตัวเพื่อผ่อนคลาย และกระตุ้นผิวทั่วร่างกาย
หลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำเปล่า จิบบ่อยๆตลอดวัน
ชโลมผิวด้วยครีมบำรุงทั่วตัวทั้งลำคอ แขน ขา
สัปดาห์ที่ 4.
กินอาหารทะเล กินปลา กินโยเกิร์ต
ดื่มนมถั่วเหลือง
กินแอปเปิ้ลทุกวันๆละ 1 ผล
ใช้แตงกวาฝานบางๆแช่เย็น แปะรอบดวงตาแล้วนอนหลับสัก 15 นาที ค่อยล้างออก
ออกกำลังกายด้วยการเดิน 60 นาที 3 ครั้งในสัปดาห์
กินสลัดผักแทนอาหารมื้อเย็น 3 วันในสัปดาห์
เข้านอนแต่วันตื่นเช้าตรู่
หากทำได้ดังเคล็ดลับนี้จะช่วยให้คุณดูดี และมีสุขภาพผิวพรรณที่ดีขึ้นภายใน 4 สัปดาห์
21 March, 2009
เคล็ดลับการดูแลผม
เคล็ดลับดีๆกับการดูแลผม
ปกติคนเราจะสระผม 2-3 วัน/ครั้ง ถ้าผมไม่สกปรกมาก สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว สำหรับคนที่ชอบสระผมบ่อยๆควรใช้แชมพูอ่อนๆหรือแชมพูเด็กก็ได้ การใช้แชมพูที่มีค่า PH ต่ำจะมีประโยชน์ต่อเส้นผมมากที่สุด จากนั้นค่อยใช้ครีมบำรุงผมหมักผมเพื่อฟื้นฟูสภาพผมสัปดาห์ละครั้งแชมพูสระผมที่เราใช้กันอยู่นั้นที่จริงมีความเข้มข้นมาก หากหลังสระเราล้างไม่หมด จะตกค้างและทำร้ายเส้นผมเราได้ เคล็ดลับดีๆคือทำการเจือจางแชมพูลงด้วยการแบ่งใส่ขวดเปล่าอีกใบแล้วผสมน้ำเปล่าลงไปอัตราครึ่งต่อครึ่ง ทีนี้คุณก็จะได้แชมพูที่อ่อนไม่ทำร้ายเส้นผมแล้วยังประหยัดค่าแชมพูไปได้อีกนาน การสระผมควรเทแชมพู ลงบนฝ่ามือผสมน้ำเล็กน้อยขยี้ให้เกิดฟองก่อนนำไปสระ จะดีกว่าการเทลงบนผมโดยตรงเพราะผมจะได้ไม่สัมผัสกับแชมพูโดยตรง หลังสระผมควรล้างแชมพูออกให้หมด อย่าให้ตกค้างบนศีรษะ คนที่มีผมมันไม่จำเป็นต้องใช้ครีมนวดผมบ่อย ส่วนผมแห้งเสียควรใช้ครีมนวดแค่ตรงบริเวณปลายผมเท่านั้น ส่วนผมธรรมดาไม่ต้องใช้ครีมนวดผมทุกครั้งหลังสระ เพราะจะทำให้ผิวหนังเกิดปัญหาได้
เคล็ดลับการถนอมเส้นผม ไม่แปรงผมขณะเปียก เส้นผมที่เปียกจะอ่อนแอขาดร่วงง่าย ควรซับผมหรือเป่าผมให้แห้งก่อนแปรงผม แปรงที่ใช้ควรใช้แปรงนวดศีรษะไปด้วยเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบนศีรษะจะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงได้ ไม่จำเป็นต้องเป่าผมให้แห้งทุกวันควรใช้ผ้าซับผมแล้วปล่อยให้ผมแห้งเองโดยธรรมชาติจะดีกว่า การเป่าผมควรก้มศีรษะให้ต่ำลงแล้วเป่า อย่าให้ไดร์เป่าผมอยู่ใกล้กับศีรษะมากเกินไปไอร้อนจะทำให้ผมเสียได้ หลังผมแห้งควรใช้แปรงซี่ห่างๆหวีผม การใช้แกนม้วนผมไฟฟ้าควรทำหลังผมแห้งเสมอ มิฉะนั้นผมจะเสียง่าย การทำสีผมควรทำโดยเลือกใช้สีที่อ่อนกว่าสีผมจริงเพราะจะทำให้ใบหน้าสว่างขึ้น ควรเว้นสัก 2-3 เดือนสำหรับการดัดหรือทำสีผมใหม่อีกครั้ง ควรเล็มปลายผมทุก 4-6 สัปดาห์เพื่อป้องกันผมแตกปลายและตัดเล็มทุก 2 เดือนเพื่อรักษาสภาพผมหลังว่ายน้ำควรสระผมทุกครั้ง ถ้าเล่นน้ำทะเลหรือไปตากอากาศหลายวันควรบำรุงเส้นผมด้วยการหมักผมเพื่อป้องกันผมเสียจากแดดและลม ใช้ที่รัดผมโดยเฉพาะดีกว่าการใช้หนังยางรัดผมเพราะผมจะขาดและหลุดร่วงได้ง่ายกว่า
เคล็ดลับการถนอมเส้นผม ไม่แปรงผมขณะเปียก เส้นผมที่เปียกจะอ่อนแอขาดร่วงง่าย ควรซับผมหรือเป่าผมให้แห้งก่อนแปรงผม แปรงที่ใช้ควรใช้แปรงนวดศีรษะไปด้วยเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบนศีรษะจะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงได้ ไม่จำเป็นต้องเป่าผมให้แห้งทุกวันควรใช้ผ้าซับผมแล้วปล่อยให้ผมแห้งเองโดยธรรมชาติจะดีกว่า การเป่าผมควรก้มศีรษะให้ต่ำลงแล้วเป่า อย่าให้ไดร์เป่าผมอยู่ใกล้กับศีรษะมากเกินไปไอร้อนจะทำให้ผมเสียได้ หลังผมแห้งควรใช้แปรงซี่ห่างๆหวีผม การใช้แกนม้วนผมไฟฟ้าควรทำหลังผมแห้งเสมอ มิฉะนั้นผมจะเสียง่าย การทำสีผมควรทำโดยเลือกใช้สีที่อ่อนกว่าสีผมจริงเพราะจะทำให้ใบหน้าสว่างขึ้น ควรเว้นสัก 2-3 เดือนสำหรับการดัดหรือทำสีผมใหม่อีกครั้ง ควรเล็มปลายผมทุก 4-6 สัปดาห์เพื่อป้องกันผมแตกปลายและตัดเล็มทุก 2 เดือนเพื่อรักษาสภาพผมหลังว่ายน้ำควรสระผมทุกครั้ง ถ้าเล่นน้ำทะเลหรือไปตากอากาศหลายวันควรบำรุงเส้นผมด้วยการหมักผมเพื่อป้องกันผมเสียจากแดดและลม ใช้ที่รัดผมโดยเฉพาะดีกว่าการใช้หนังยางรัดผมเพราะผมจะขาดและหลุดร่วงได้ง่ายกว่า
19 March, 2009
เคล็ดลับการล้างหน้าอย่างถูกวิธี
ใบหน้าเรานั้นเป็นปราการด่านแรกที่จะเผยโฉมให้ใครต่อใครเห็น คนจะประทับใจเรามากน้อยก็อยู่ที่ใบหน้าก่อนอย่างอื่น หากเรามีใบหน้าที่สวยสดใส ไร้สิวฝ้าผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ ใครที่พบเจอก็ต้องเกิดความประทับใจ ตื่นเช้าเราล้างหน้ากันทุกวัน การล้างหน้าเป็นการชำระสิ่งสกปรกที่ติดค้างอยู่บนใบหน้าออกไป แต่เราแน่ใจหรือว่า เราล้างหน้าอย่างถูกวิธีแล้วการล้างหน้าอย่างถูกวิธีนอกจากใบหน้าจะสะอาดแล้วเรายังไม่รบกวนผิวหน้า ทำให้เกิดการระคายเคือง และได้รับการบำรุงอย่างถูกวิธี
ขั้นตอนการล้างหน้าอย่างถูกวิธีมีดังนี้
1. เลือกผลิตภัณฑ์ ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของตัวเอง เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวธรรมดา สูตรอ่อนโยน สูตรบำรุงผิว สูตรกำจัดสิว มีให้เลือกมากมายและหาซื้อได้ง่าย
2. เริ่มจาก บีบโฟม หรือสบู่เหลวลงบนมือผสมน้ำเล็กน้อย ขยี้เบาให้เกิดฟอง ก่อนจะนำไปลูบไล้บนใบหน้าเบาๆ
3. เริ่มต้นล้างหน้า การล้างหน้าอย่างถูกวิธีโดยเริ่มที่แก้มทั้ง 2 ข้าง โดยใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง ถู วนแก้มเบาๆจากนั้นวนขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงหน้าผาก ใช้ทั้ง 3 นิ้วถูวนเบาๆเหมือนกับที่แก้ม
4. ต่อที่จมูก หลังถูวนเบาๆที่หน้าผากแล้ว ให้ลากมือมาที่จมูก โดยใช้เพียงนิ้วนางนิ้วเดียวลากไถไปเป็นแนวจากฐานจมูกขึ้นไปถึงสันจมูกเบาๆ
5. ต่อที่ปากและคาง พอทำความสะอาดจมูกเสร็จแล้วก็ให้ลงมาทำความสะอาดที่ปากและคาง โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางถูนวดเบาๆรอบๆริมฝีปากเพื่อทำความสะอาด
6. ดวงตาเป็นที่สุดท้าย ดวงตาเป็นผิวที่บอบบางที่สุดของใบหน้า ใช้นิ้วชี้และนิ้วนางโดยวางนิ้วชี้บริเวณเปลือกตา แล้วใช้นิ้วนางถูนวดเบาๆโดยไล่นิ้วนางจากหัวตาไปหางตา
7. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งถ้าจะให้ดีควรใช้การประคบร้อนประคบเย็น โดยก่อนและหลังการใช้ผลิตภัณฆ์ที่ใช้ล้างหน้าควรใช้น้ำอุ่น แต่พอเสร็จสิ้นกระบวนการ ก็ให้ล้างด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน
8. การซับหน้า ใช้ขนหนูที่สะอาดและแห้งสนิท ซับเบาๆ ไม่ใช่ถูเช็ดหน้า เพราะการเช็ดถูหน้าจะทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ การซับหน้าเบาๆเป็นวิธีที่ดีที่สุด การล้างหน้า ล้างวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะจะไม่ไปรบกวนผิวมากจนเกินไป
สูตรการทำน้ำข้าวกล้องงอก
ข้าวกล้องมีสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ข้าวกล้องปริมาณ 100 กรัม จะมีโปรตีน 7.2 กรัม ไขมัน 3.4 กรัม ใยอาหาร 3.4 กรัม นอกจากนี้ยังมี เกลือแร่ วิตามิน ได้แก่ โซเดียม โปรแตสเซียม แคลเซียมฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม ซึ่งสำคัญต่อการสร้างกระดูก ข้าวกล้องจะมีวิตามินสูงกว่าข้าวขาวถึง 2 เท่าแต่เนื่องจากข้าวกล้อง ไม่นุ่มเหมือนข้าวขาวคนถึงไม่นิยมกินกันข้าวกล้องอุดมไปด้วยวิตามิน A ,E ,B1 ป้องกันโรคเหน็บชา B2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก ข้าวกล้องยังมีใยอาหารสูงช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดีลดอาการท้องผูก โรคเกี่ยวกับลำไส้ โรคมะเร็งลำไส้ ป้องกันหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน ที่สำคัญข้าวกล้องมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโทไซยานิน ไฟโตสเตอรอล โทโคเฟอรอลออริซานอล และกรดโฟลิกคุณประโยชน์ข้างกล้องมีอยู่มากมาย จึงอยากเชิญชวนให้หันมาบริโภคข้าวกล้องกัน ข้าวกล้องสามารถนำมา ปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย ยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวันนี้ จึงอยากจะมาแนะนำวิธีการทำน้ำข้าวกล้องงอก เพื่อใช้ดื่มกันเองที่บ้านได้
การเพาะข้าวกล้องงอก
เลือกซื้อข้าวกล้องที่ใหม่สด เพราะจะทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกมากที่สุด โดยดูจากวันเดือนปีที่ผลิต หากไม่เกิน 6 เดือนจะได้ข้าวกล้องงอกดีที่สุด หากเป็นข้าวใหม่ แช่น้ำทิ้งไว้ไม่เกิน 4-5 ชั่วโมงก็จะสังเกตเห็นตุ่มๆงอกออกมาได้ เป็นใช้ได้ แต่อย่าให้งอกจนมีใบเพราะสารที่มีในข้าวกล้องที่ชื่อ กาบา จะหายไปทำให้ได้ประโยชน์ลดลง
เลือกซื้อข้าวกล้องที่ใหม่สด เพราะจะทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกมากที่สุด โดยดูจากวันเดือนปีที่ผลิต หากไม่เกิน 6 เดือนจะได้ข้าวกล้องงอกดีที่สุด หากเป็นข้าวใหม่ แช่น้ำทิ้งไว้ไม่เกิน 4-5 ชั่วโมงก็จะสังเกตเห็นตุ่มๆงอกออกมาได้ เป็นใช้ได้ แต่อย่าให้งอกจนมีใบเพราะสารที่มีในข้าวกล้องที่ชื่อ กาบา จะหายไปทำให้ได้ประโยชน์ลดลง
อุปกรณ์ในการทำน้ำข้าวกล้องงอก
1. เครื่องปั่นไฟฟ้า
2. ชามหรือกะละมังแช่ข้าว
3. ทัพพี หรือช้อน
4. หม้อสำหรับต้ม
5. กระชอนหรือ ผ้าสำหรับกรอง
6. ตาชั่ง
วิธีการทำ
1. นำข้าวกล้องที่งอกแล้ว 150 กรัม ล้างจนสะอาด เติมน้ำ 2 ลิตร ปั่นจนละเอียด
1. นำข้าวกล้องที่งอกแล้ว 150 กรัม ล้างจนสะอาด เติมน้ำ 2 ลิตร ปั่นจนละเอียด
2. กรองผ่านผ้าขาวหรือกระชอน
3. ได้น้ำข้าวกล้องที่พร้อมดื่มได้เลย อาจปรุงรสชาติเพิ่มโดยเติมเกลือ น้ำผึ้ง นมสด โอวัลตินเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสให้น่ากิน
4. หากทำเป็นเครื่องดื่มร้อน ก็นำไปตั้งไฟอ่อนๆ ปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย น้ำใบเตย น้ำตาล นมสด หรือ เพิ่มน้ำผึ้งจะน่ากินมากยิ่งขึ้น
5. หากต้องการบรรจุขวดไว้กินได้หลายวัน ต้มฆ่าเชื้อที่ อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที บรรจุขวดขณะร้อน เก็บแช่ตู้เย็นได้นาน 1 สัปดาห์
6. หากต้องการเพิ่มคุณประโยชน์มากขึ้น อาจนำธัญพืชอื่นมาปั่นรวมลงไปด้วย ได้แก่ งา ลูกเดือย ถั่วเหลือง ฯลฯ เพิ่มสีสัน ให้น่ากินด้วย ใบเตย โกโก้ หรือ โอวัลติน
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านลองทำกินกันเองที่บ้านได้นะครับ
17 March, 2009
สูตร การลดอาหารเพื่อล้างพิษ
สูตร การลดอาหารเพื่อล้างพิษ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวเราทุกวันนี้ มีสารพิษต่างๆมากมาย นับวันก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น การล้างพิษเป็นการดูแลร่างกาย ซ่อมแซมร่างกายที่ได้รับพิษต่างๆมากมายในชีวิตประจำวันเนื่องมาจากการใช้ชีวิต อันเกิดจากมลภาวะ หลายๆอย่างที่เรารับเข้าไปในแต่ละวัน ทั้งที่เราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มาดูกันว่าเรา รับพิษต่างๆเข้าไปได้อย่างไร
1. อาหารที่เรากินเข้าไปทุกวัน ปนเปื้อนจากสารเคมี ยาฆ่าแมลง สารกันบูด สารแต่งกลิ่น แต่งสี แต่งรส ทำให้อาหารดูดีน่ากิน โดยที่เราไม่รู้ว่ามีสารเหล่านี้เจือปนอยู่
2. อาหารขยะ ได้แก่อาหารที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมกินกัน ทั้งพิซซ่า ฟาสซ์ฟูดส์ ขนมขบเคี้ยวที่มีแต่แป้งและน้ำตาลไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
3. อาหารที่ถูกปิ้งย่างจนเกรียม หรืออาหารที่ผ่านการทอดโดยใช้น้ำมันเก่าซ้ำหลายๆครั้ง
4. การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ชา กาแฟ
5. หายใจเอาควันพิษต่างเข้าไป
6. ดื่มน้ำที่ ปนเปื้อน สารพิษ หรือน้ำไม่สะอาด
7. อาหาร ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรืออาจปรุงไม่สุก
8. อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือเกลือ อยู่มากเกินไปที่ร่างกายจะขับออกได้
เมื่อร่างกายเรารับสารพิษเข้าไปสะสมมากขึ้นทุกวัน ทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆตามมาในภายหลัง
เมื่อร่างกายเรารับสารพิษเข้าไปสะสมมากขึ้นทุกวัน ทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆตามมาในภายหลัง
อาการต่างๆที่พอสังเกตุได้ดังนี้
1. ผิวพรรณมีปัญหา สิวฝ้าเกิดง่ายหายยาก ผิวพรรณหมองคล้ำ หยาบกร้าน
2. ภูมิต้านทานต่ำลง ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
3. มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และลำไส้
4. ดูแก่กว่าวัย เซลล์เสื่อมเร็ว
5. แน่นท้องจุกเสียดบ่อย หรือท้องเสียง่าย
7. เป็นโรคท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นปกติ
8. ปัสสาวะ ไม่ใส ไตอาจมีปัญหาได้
9. ประสาทไม่ผ่อนคลายหลับยาก
10. มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หรือเป็นโรคภูมิแพ้ง่าย
11. สมองไม่แจ่มใส ความจำไม่ดี
12. ปวดศรีษะบ่อย หรืออาจเป็นไมเกรน
13. เป็นโรคเกี่ยวกับความดันโรหิตสูง
ฯลฯ
อาการต่างเหล่านี้เป็นข้อบ่งชี้ว่าสุขภาพเรา กำลังไม่ดีเนื่องจากได้รับสารพิษ ร่างกายภายนอกเราสามารถทำความสะอาดได้ง่าย โดย การอาบน้ำ สระผม แปรงฟันได้ แต่ภายในร่างกายเราจะทำอย่างไร ถึงแม้ว่าร่างกายเราสามารถขับพิษต่างๆได้เองตามธรรมชาติ แต่เรารับสารพิษต่างๆเข้าไปทุกวัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัด สารพิษออกมาได้ทัน เกิดการตกค้างและทำร้ายร่างกายเราในที่สุด
การล้างพิษนั้นมีหลายวิธี เช่น การสวนทวาร การอดอาหารเพื่อล้างพิษ การกินเพื่อล้างพิษ ระยะเวลาในการล้างพิษ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เพราะต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร การจัดตารางให้ตัวเอง ในแต่ละปีจึงควรหาเวลาที่ไม่ยุ่งยากจากงานเพื่อจะได้ทำให้ต่อเนื่อง และเกิดผลดีที่สุดแก่ตัวเอง
การล้างพิษนั้นมีหลายวิธี เช่น การสวนทวาร การอดอาหารเพื่อล้างพิษ การกินเพื่อล้างพิษ ระยะเวลาในการล้างพิษ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เพราะต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร การจัดตารางให้ตัวเอง ในแต่ละปีจึงควรหาเวลาที่ไม่ยุ่งยากจากงานเพื่อจะได้ทำให้ต่อเนื่อง และเกิดผลดีที่สุดแก่ตัวเอง
วันนี้มีสูตร การล้างพิษที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองมาให้ปฏิบัติกันในระยะเวลา 1 ปี
1. สูตรล้างพิษทุกเดือน โปรแกรม 3-4วัน
โดยมีให้เลือกดังนี้
1.1 อด 1 วัน กินแต่ผัก ผลไม้ อีก 2วัน
1.2 อด 2 วัน กินแต่ผักผลไม้ 2 วัน
1.3 อด 1 วันทุกสัปดาห์
1.4 กินแต่ผักผลไม้ 2 วันทุกสัปดาห์
2. สูตรล้างพิษ ทุก 2-3 เดือน โปรแกรม 5-7 วัน
2.1 อด 2 วัน กินผัก ผลไม้ 3วัน
2.2 อด 3 วัน กินผัก ผลไม้ 4 วัน
2.3 อด 1 วัน กินผัก ผลไม้ 6 วัน
3. ล้างพิษทุก 5 เดือน โปรแกรม 3 วัน หรือ 10 วัน โดยทำครั้งแรก ฤดูร้อน เมษา ครั้งถัดไปเดือน กันยา โดยเลือกระหว่าง
3.1 อด 3 วัน
3.2 อด 2 วัน กินผัก ผลไม้ 8 วัน
4. ล้างพิษทุก 6 เดือน หรือ 2ครั้ง/ปี โปรแกรม 3 วัน หรือ 14 วัน โดยเลือก ระหว่าง
4.1 อด 3 วัน
4.2 อด 2 วัน กินผักผลไม้ 12 วัน
5. ล้างพิษปีละครั้ง โปรแกรม 3 วัน หรือ 21 วัน เลือก ฤดู ร้อน เดือน มีนา-เมษา โดยเลือกระหว่าง
5.1 อด 7 วัน
5.2 อด 3 วัน กินผักผลไม้ 18 วัน
ก็ทดลองทำกันดูได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของท่านเอง ยอมสละเวลาสักนิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)