30 October, 2010

การแต่งหน้า เพื่อแก้ไขจุดบกพร่อง



วันนี้มีเทคนิคการแต่งหน้า มาฝากสาวๆครับเป็นเทคนิค การแต่งหน้าเพื่อแก้ไขจุดบกพร่อง ต่างๆของใบหน้า

การแก้ไขรูปหน้าที่บกพร่องไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสาว ๆ เพียงรู้เทคนิคแต่งหน้าดี ๆ ก็สวยได้โดยไม่พึ่งต้องศัลยกรรม

ใต้ตาดูหมองคล้ำไม่สดใส ลองใช้ไฮไลท์ผสมประกายมุก เกลี่ยบริเวณรอบดวงตา
ริมฝีปากบางควรใช้ลิปลายเนอร์เขียนเพิ่มขนาดรูปปาก ก่อนลงลิปสติกสีเดียวกันให้ทั่ว
สาวแก้มเยอะ ใช้เฉดดิ้งสีน้ำตาลปัดไล้ใต้แนวโหนกแก้มและแนวกราม เพื่อให้ใบหน้าได้xxxส่วนขึ้น
สุดท้ายปัดไฮไลท์สีสว่างที่หน้าผาก สันจมูก ปลายคาง และโหนกแก้ม ซึ่งถือเป็นจุดรับแสง จะช่วยให้หน้าดูสว่างสดใสขึ้น

จมูก

จมูกแบน

แตะคอนซีลเลอร์สีเข้มกว่าผิวจริงบริเวณร่องจมูก (ระหว่างปีกจมูกและสันจมูก) ไล่ขึ้นไปจนถึงช่วงกลางจมูก จากนั้นใช้ไฮไลท์สีสว่างไล้จากปลายจมูกขึ้นไปเพื่อให้เห็นสันจมูกชัดขึ้น วิธีนี้จะทำให้จมูกดูโด่งอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าการใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลไล้บริเวณข้างสันจมูก

จมูกโด่งเป็นสันเกินไป

จมูกโด่งเกินไปใช่ว่าจะดี เพราะจะทำให้หน้าดูแข็ง ลองแตะคอนซีลเลอร์สีอ่อนบริเวณด้านข้างจมูกไล่ลงมาจนถึงปีกจมูก จากนั้นปัดแป้งสีเข้มกว่ารองพื้น 1 เบอร์ที่สันจมูกเบาๆ

จมูกใหญ่หรือปีกจมูกใหญ่

แตะคอนซีลเลอร์สีเข้มกว่ารองพื้น 1 – 2 เบอร์ ที่ข้างสันจมูกทั้งสองข้างเล็กน้อย สีเข้มของคอนซีลเลอร์จะช่วยให้จมูกดูเล็กลง อาจปัดไฮไลท์ที่สันจมูกช่วยให้จมูกดูสมส่วนยิ่งขึ้น

แก้ม

แก้มเยอะ

เริ่มจากหาตำแหน่งโหนกแก้มโดยการยิ้ม แล้วปัดบลัชออนบริเวณจุดสูงสุดของโหนกแก้มไล่เฉียงขึ้นไปถึงแนวขมับ แล้วปัดเฉดดิ้งจากข้างใบหูไล่มาตามแนวใต้กระดูกแก้ม เพื่อให้หน้าแลดูตอบลง

**Tip จริงๆไม่ควรใช้บลัชออนที่มีความแวววาว เพราะจะทำให้เนื้อแก้มดูมากขึ้น แต่เทรนด์ช่วงนี้เหมาะกับแก้มฉ่ำๆ ดังนั้นแนะนำให้ปัดบลัชออนตามสูตร แล้วเติมบลัชออนเนื้อวาวเฉพาะโหนกแก้มด้านบนเล็กน้อยก็พอ

แก้มตอบ

บลัชออนเนื้อครีมหรือแบบผสมกลิตเตอร์เหมาะกับสาวแก้มตอบที่สุด เพราะความแวววาวจะทำให้แก้มดูมีเนื้อขึ้นเวลาโดนแสง ปัดเป็นวงกลมโดยเน้นให้สีเข้มที่สุดบริเวณโหนกแก้ม แล้วค่อยๆเกลี่ยสีให้กระจายออกไปยังไรผม

ตา

ตาเล็ก

ไล้อายแชโดว์สีอ่อนให้ทั่วเปลือกตา แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มสร้างมิติให้ดวงตา โดยเริ่มเกลี่ยสีจากหางตาไล่ตามแนวกระบอกตา ให้น้ำหนักสีเข้มบริเวณสุดอยู่ที่ปลายหางตา ไล้ให้สีอ่อนลงเรื่อยๆจนถึงหัวตา

สุดท้ายปัดไฮไลท์ที่หัวตาและโหนกคิ้ว แล้วเพิ่มความคมเข้มด้วยการเขียนอายไลเนอร์เส้นหนาที่ขอบตาบน หรือถ้าอยากตามเทรนด์ญี่ปุ่นจะเขียนขอบตาล่างด้วยก็ได้

นอกจากการดัดขนตาแล้ว มาสคาราก็ช่วยสาวหมวยได้เยอะ โดยเฉพาะการปัดขนตาล่าง

**Tip สำหรับสาวตาชั้นเดียวหรือชั้นตาหลบ การติดขนตาปลอมจะช่วยให้เห็นชั้นตาชัดและดูตาโตขึ้นได้จนคุณเองยังแปลกใจ

ตาตก

สาวๆสามารถแต่งตาได้ตามปกติ แต่เพิ่มน้ำหนักสีช่วงหางตา ด้วยการไล้อายแชโดว์สีเข้มชิดขอบตาบนโดยเกลี่ยสีช่วงหางตาให้ฟุ้งขึ้น จากนั้นกรีดอายไลเนอร์บริเวณหางตาให้เป็นรูปตัววี แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว

ตาโปน

ตาลักษณะนี้สามารถแต่งแบบสโมกกี้อายส์ที่ฮิตๆกันได้สบาย เพราะอายแชโดว์สีเข้มจะทำให้ดวงตาดูเล็กลง อาจใช้แปรงขนาดเล็กแตะอายแชโดว์สีเข้มอย่างสีดำ น้ำตาล หรือน้ำเงิน ลงเพิ่มที่ขอบตาล่างโดยไล่จากหางตาเข้ามาถึงกึ่งกลางตา

ปาก

ริมผีปากบาง

ใช้ดินสอเขียนขอบปากสีเดียวกับลิปสติก เขียนให้ริมฝีปากใหญ่กว่าจริงเล็กน้อย แล้วค่อยลงลิปสติกเนื้อแวววาวก่อนเพิ่มความอวบอิ่มด้วยลิปกลอสอีกครั้ง

ริมฝีปากหนา

เพื่อให้ง่ายต่อการสร้างเส้นริมฝีปากใหม่ ควรลงรองพื้นทับริมฝีปากจนทั่วก่อน จากนั้นใช้ดินสอเขียนขอบปากวาดให้มีความหนาน้อยกว่าที่เป็นอยู่ จากนั้นเลือกใช้ลิปสติกสีเข้มลงให้ทั่วริมฝีปาก ควรระวังลิปสติกสีอ่อนหรือมีความวาว เพราะจะทำให้ริมฝีปากยิ่งดูหนาไปกันใหญ่

**Tip ระวังอย่าสร้างเส้นริมฝีปากใหม่ต่างจากเส้นจริงมากนัก ไม่อย่างนั้นจะดูไม่แนบเนียนจนคนอื่นจับได้

ทดลองแต่ตามที่บอกนะครับ เพื่อบุคลิกที่โดดเด่นชวนมองของคุณสุภาพสตรี



ขอบคุณที่มา:http://www.ladymodern.com/

15 October, 2010

ความเครียดกับการลดน้ำหนัก

คนที่พยายามลดน้ำหนักจะสามารถทำได้ดีขึ้นเมื่อไม่มีความเครียดหรือมีความเครียดน้อย
ทางการแพทย์พบว่า ความเครียดจะไปทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินกับคอร์ติโซลจากต่อมหมวกไต ฮอร์โมนตัวแรกจะทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรง ความดันเลือดพุ่งสูงขึ้น ส่วนฮอร์โมนตัวที่สองจะช่วยเสริมฤทธิ์ตัวแรกในการผลักดันให้ไขมันไปพอกพูนอยู่ที่ท้องมากขึ้น
คนปกติที่ทำงานเครียดมากๆ มักจะคลายเครียดด้วยการกินเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีไขมันมากกว่าปกติอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับฤทธิ์ของฮอร์โมนทั้งสองจึงทำให้พุงโตขึ้นได้ง่าย
บางคนเครียดมากก็หันไปยึดเหล้ายาเป็นสรณะ การลดความเครียดด้วยการดื่มเหล้า เบียร์ และสูบบุหรี่ ยิ่งทำให้เป็นอันตรายมากขึ้น บางคนยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน
ยิ่งอ้วนก็ยิ่งเครียด เป็นวัฎจักรไปเรื่อยๆ

14 October, 2010

วิธีทาครีมบำรุงผิว

สาวๆ กับความสวยต้องเป็นสิ่งที่คู่กันอยู่แล้ว คุณสาวๆ ทั้งหลายต่างสรรหาวิธี บำรุงผิวพรรณ ให้เปล่งปลั่งสดใสและให้ดูดีกันตลอดเวลา โดยเฉพาะเครื่องประทินผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ครีมบำรุง โลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ แต่ทราบไหมค่ะ ว่าแค่การทา ครีมบำรุง ผิวพรรณ ก็ต้องมีการใช้และทาอย่างถูกวิธีด้วยค่ะ จึงจะทำให้การบำรุงผิวเกิดประสิทธิภาพ เรามาดู วิธีทาครีมบำรุงผิว อย่างถูกวิธีกันเลยดีกว่า

1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณ ครีม ที่ต้องใช้ให้เหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อนิ้ว เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้าเลยค่ะ คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคางตามลำดับ นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ ครีม ชนิดเฉพาะรอบดวงตาแทน

2.การลงน้ำหนักนิ้ว ควรจะเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุถนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้

3.การทา ครีม รอบดวงตา ควรใช้ปริมาณ เนื้อครีม ประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทา ครีม ไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววน ครีม รอบๆ ดวงตา จะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

4.การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณ เนื้อครีม เท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือโดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อน คือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ ครีม ที่เหลือจากลำคอ ทาลูบในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง

5.การทาครีมบริเวณแขนขาและเท้า จะใช้ ครีม ปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อนิ้ว โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนก่อนแล้วก็ลูบไล้มาที่ท้องแขนจนทั่วบริเวณทำเหมือนกันทั้งสองข้างเลยค่ะ จากนั้นก็เรื่อยมาที่ต้นขา แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มากเพราะบริเวณนี้จะแห้งกร้านได้ง่ายมาก ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้าเพื่อเป็นการผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตด้วย


ที่มา:http://www.doctorcosmetics.com/read_content.php?id=1708&pagetype=product

05 October, 2010

มังสวิรัติ

มังสวิรัติ
ความหมายของ "มังสวิรัติ" คือการงดเว้นเนื้อสัตว์ แต่บางคนแปลเจตนาต่างกัน บ้างก็ว่างดแค่เนื้อสัตว์ แต่บ้างก็งดรวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ด้วย เช่น นม ไข่ และอาหารที่ทำจากไข่และนม ทำให้แยกประเภทการกินอาหารมังสวิรัติได้หลายแบบ ได้แก่
-แมคโครไบโอติก (Macrobiotic) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เน้นอาหารที่สมดุล ที่หลายคนเรียกว่า หยิน-หยาง
-มังสวิรัตินม-ไข่ (Lacto-Ovo Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ แต่กินนม ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่

-มังสวิรัติไข่ (Ovo Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ แต่รับประทานไข่
-มังสวิรัตินม (Lacto Vegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ แต่รับประทานนมและผลิตภัณฑ์จากนม
-มังสวิรัติแบบเจ (J-ChineseVegetarian) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ รวมทั้งพืชที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ หอม กระเทียม ขึ้นฉ่าย ใบยาสูบ และกระเทียมโทนหัวใหญ่ รวมไปถึงความเคร่งครัดในการปรุง ภาชนะต้องแยกต่างหาก และต้องรักษาศีล ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
-มังสวิรัติเคร่งครัดหรือบริสุทธิ์ (PureVegetarian) ไม่กินและไม่แตะต้องเนื้อ นม ไข่ และอาหารที่มีส่วนประกอบของไข่และนม
-มังสวิรัติพืชสด (Raw Food Eater / Raw Diet / Raw Energy / Living Food) งดเว้นผลิตภัณฑ์จากสัตว์และกินพืชผัก ผลไม้ที่สดดิบ ไม่ผ่านการหุงต้มใดๆ
-มังสวิรัติผลไม้ (Fruitarian) กินแต่ผลไม้ และถั่วหรือธัญพืช

ปัจจุบัน คนจำนวนไม่น้อยหันมากินอาหารมังสวิรัติกันมากขึ้น เพราะไม่อยากเสี่ยงบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัวที่แถมโรควัวบ้า เนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง หรือเชื้อไวรัสไข้หวัดนกที่มาพร้อมกับสัตว์ปีก เป็นต้น (ลืมๆ ไปก่อนก็แล้วกันนะคะว่า บรรดาผัก ผลไม้ ก็อุดมไปด้วยยาฆ่าแมลงเหมือนกัน)

นอกจากนี้ โปรตีนปริมาณสูงและไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์ ยังอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคหลอดเลือดตีบ เส้นเลือดหัวใจอุดตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งลำไส้ ฯลฯ

ข้อดีของอาหารมังสวิรัติที่ส่วนใหญ่ปรุงจากผักและผลไม้ ก็คือเป็นอาหารที่มีกากใยสูง ย่อยง่าย ใช้พลังงานน้อย ขับถ่ายง่าย ไม่เกิดอาการท้องผูก ลดปริมาณคอเลสเตอรอล ที่สำคัญกากใยเหล่านี้มีอยู่เฉพาะในพืชผักและผลไม้เท่านั้น

เส้นใยที่มีในพืชผักและผลไม้ที่ช่วยป้องกันอาการป่วยไข้ เป็นต้นว่า "เพคติน" ซึ่งมีมากในกล้วย ส้ม องุ่น มัน แครอท ช่วยป้องกันโรคหัวใจและนิ่วในถุงน้ำดี "เซลลูโลส" ช่วยป้องกันอาการท้องผูก พบมากในมะละกอ มะขาม ผลไม้เปลือกแข็ง เมล็ดพืช "ลิกนิน" มีมากในข้าวกล้อง ถั่วงอก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ช่วยป้องกันโรคริดสีดวงทวาร นิ่วในถุงน้ำดี และเส้นเลือดขอด

นอกจากนี้วิตามินต่างๆ ที่ได้จากผักผลไม้ ยังช่วยลดการเป็นหวัดและอาการภูมิแพ้ได้ด้วย ว่ากันว่า วิตามินซีจากผักสดผลไม้สด มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร เนื่องจากวิตามินซีสามารถยับยั้งปฏิกิริยาการเกิดไนโตรซามีนส์ สารที่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร แต่เน้นว่าต้องสดจริงๆ นะคะ เพราะวิตามินซีสูญสลายได้ง่ายเหลือเกิน

ด้วยข้อดีทั้งหมดที่กล่าวมา (ซึ่งก็เป็นแค่บางส่วน) ทำให้หลายคนยอมกินอาหารมังสวิรัติ แม้ว่าหน้าตาจะยั่วยวนชวนน้ำลายน้อยกว่าอาหารจากเนื้อ นม ไข่ ก็ตาม

สำหรับนักมังสวิรัติมือใหม่บางคน แค่เริ่มต้นด้วยข้าวกล้องก็อาจจะท้อเอาได้ง่ายๆ เอาแค่หุงข้าวกล้องให้อร่อย ก็กลายเป็นเรื่องยากซะแล้ว หลายคนติว่าแข็ง ฝืดคอเกินไป

เทคนิคการหุงข้าวกล้อง ไม่ยากค่ะ ข้าวกล้อง 1 ส่วน ต่อน้ำ 2 ส่วน ยกเว้นถ้าเป็นข้าวกล้องใหม่ ใส่น้ำแค่ 1 1/2 ส่วน กลเม็ดเคล็ดลับอยู่ที่ ให้เอาข้าวกล้องไปแช่น้ำประมาณ 1/2 ถึง 1 ชั่วโมงก่อนจะนำมาหุง และไม่ควรจะซื้อข้าวกล้องมาเก็บไว้นานเกิน 10-15 วันนะคะ เพราะข้าวกล้องจะมีความชื้น มีกลิ่นหอม และมีสารอาหารมาก จึงเป็นแหล่งอาหารของมอดและแมลงต่างๆ มากกว่าข้าวขาว นี่เองที่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าวกล้องถึงได้แพงกว่าข้าวขาว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการขัดสี ...ก็เพราะว่ามันเก็บไว้ได้ไม่นานนี่เอง

แถมให้อีกนิดก่อนจากกันวันนี้ สำหรับคนที่อยากกินอาหารเพื่อสุขภาพ แต่เหม็นกลิ่นถั่วเหลือง ... ผลิตผลจากถั่วเหลือง ไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้หรือโปรตีนเกษตร ถ้านำมาประกอบอาหารทันทีจะมีกลิ่นถั่วเหลือง ดังนั้น ก่อนปรุง ให้นำไปลวกน้ำร้อน หรือต้มกับน้ำร้อนให้เดือดจนฟองขึ้นเป็นสีขาว ยกลง และบีบน้ำออก ล้างด้วยน้ำเย็น แล้วบีบน้ำให้แห้งอีกที ก่อนจะนำไปปรุงอาหาร

04 October, 2010

เชื้อโรคที่พบในร้านเสริมสวย

เชื้อโรคที่พบในร้านเสริมสวย
เชื้อโรคที่พบในร้านเสริมสวย

จากการสำรวจความสะอาดในร้านเสริมสวย "โครงการสถานที่เสริมสวยหรือแต่งผมสะอาด ปลอดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี" โดยสำนักอนามัยกรุงเทพฯ เมื่อปี 2550 พบเชื้อราในหวีและแปรง 27.34 เปอร์เซ็นต์

ในรายงานเรื่อง "ระวัง! ร้านเสริมสวยทำป่วย" นิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ มี. ค. รศ.พ.ญ.วรัญญา บุญชัย ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลว่า เชื้อโรคที่พบในร้านเสริมสวยแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

โรคเชื้อราผิวหนัง
เจอได้ในผ้าเช็ดผม เพราะหากซักแล้วไม่ได้ผึ่งแดดให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อโรค เชื้อราจะเจริญเติบโต อีกอย่างคืออุปกรณ์ทำเล็บ เช่น กรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บ อาจติดมาจากคนที่มีเชื้อและฆ่าเชื้อโรคไม่หมด รวมทั้งพบได้บ่อยในผู้ที่ชอบทำเล็บหรือต่อเล็บ เพราะทำให้เล็บจริงไม่ได้รับอากาศ เวลาโดนน้ำจะชื้น หากเป็นหนักเล็บจะเสียและยุ่ย

โรคจากเชื้อไวรัส
เช่น โรคหูด เกิดจากอุปกรณ์ที่สัมผัสกับผิวหนังต่างๆ เช่น กรรไกรตัดเล็บ หวี และหินขัดเท้า

โรคจากเชื้อแบคทีเรีย
เกิดจากอุปกรณ์ทั่วไปในร้านเสริมสวยที่ทำความสะอาดไม่ดีพอและใช้ร่วมกัน จำพวกหวีและแปรงต่างๆ

โรคติดเชื้อจากปรสิต
เช่น ติดเหาจากอุปกรณ์ประเภทหวีและล่าสุด คือ อาจติดโลนขนตาจากกาวที่ใช้ติดขนตาปลอม เพราะช่างใช้กาวหลอดเดียวกันกับลูกค้าหลายคน

นอกจากโรคติดต่อทางผิวหนังแล้ว จากการศึกษายังพบโรคติดต่อทางเลือดอีกหลายชนิดในร้านเสริมสวย ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุและการไม่เปลี่ยนใบมีด

เชื้อโรคไวรัสอักเสบชนิดบีและซี
ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคตับอักเสบและมะเร็งตับ อุปกรณ์ที่เป็นพาหะคือมีดโกน กรรไกรตัดเล็บ และของมีคมต่างๆ ที่ใช้ในการเสริมความงาม

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ Emory University School of Medicine สหรัฐ อเมริกา วิจัยพบว่าน้ำยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้กันในร้านเสริมสวยไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส ตับอักเสบซีได้ ทางที่ดีควรเลือกร้านที่เปลี่ยนใบมีดจะดีที่สุด

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสารเคมีที่ใช้ในร้านเสริมสวย ไม่ว่าจะเป็นยาย้อมผม ดัดผม ทำสี หรือสเปรย์

แล้วเราจะป้องกันอย่างไร?

คุณหมอวรัญญาแนะนำว่า ควรสังเกตว่า ร้านนั้นๆ มีระบบระบายอากาศที่ดีหรือไม่ เพื่อไม่ให้โดนละอองจากสารเคมีมากเกินไป และสังเกตความสะอาดของร้านและอุปกรณ์ที่ใช้ จะช่วยป้องกันเชื้อโรคเบื้องต้นได้ทางหนึ่ง


ที่มา:http://guru.sanook.com/pedia/topic/ระวัง_เชื้อโรคในร้านเสริมสวย/

02 October, 2010

เทคนิคคุมน้ำหนัก

วิธีการลดน้ำหนักง่ายมาก
การลดน้ำหนักแบบง่ายๆมีดังนี้
- ห้ามกิน แป้ง น้ำตาล และไขมัน ทุกชนิด ยกเว้นธัญพืช จากธรรมชาติ

- พยายามดูส่วนผสมของอาหาร ก่อนทานอาหาร เพื่อไม่ให้เรารับสารพิษ

- น้ำตาลคือยาเสพติดถูกกฎหมายชนิดร้ายแรง เช่นเดียวกับผงขาว เนื่องจากเมื่อเสพจะมีความสุข ทำให้มีเซ๊กซ์ได้ดี และมีแรงในการออกกำลังมาก แต่ข้อเสียคือ ทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด เกิดการบาดเจ็บภายในกล้ามเนื้อได้ง่าย เมื่อไม่เผาผลาญ จะเปลี่ยนเป็นไขมันย่อยยากทันทีภายใน 1 ชั่วโมง

- งดของทอดทุกชนิด งดข้าวขัดขาว แป้งสีขาว แล้วหันมาทานขนมปังโฮวีท นมที่ไม่มีน้ำตาล สันในไก่ อกไก่ อาหารควรต้ม หรืออบเท่านั้น ห้ามทอด เพราะการทอด น้ำมันช่วยในการทำให้อาหารไม่ติดกะทะเท่านั้น แต่ถ้าร่างกายได้รับเข้าไป คือสิ่งที่ไม่สามารถนำเอาออกมาได้

- อาหารเน้นกับ ทานผัก ผลไม้สด เช่น ฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล กล้วยน้ำว้า ไม่ควรทานผักที่ต้ม หรือทอด

- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีผงชูรส เช่น ขนมถุง เพราะจะทำให้อยากอาหารและกินอาหารมากกว่าปกติ

- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนทุกชนิด เพราะจะทำให้เราเสพน้ำตาลได้ง่าย ถึงจะทำให้มีความสุข แต่จะทำให้มีนิสัยอมนุษย์ได้ง่าย เช่น โกรธง่าย เกลียดคนง่าย นินทา ว่าร้ายผู้อื่น ริสยา อยากได้ของผู้อื่น

- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอร์ เพราะจะทำให้ตัวบวมน้ำ และเมื่อทานน้ำตาลเข้าไปจะทำให้ไขมันแทรกตัวตามส่วนตัวๆ ที่ออกกำลังกาย เช่น พุง แก้ม น่อง เป็นต้น

- ทานอาหารทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 1 กำมือ เลิกทานอาหารมื้อหนัก เพื่อไม่ให้กระเพาะคราก สังเกตเวลาทานหมูกะทะ เมื่อทานมากๆ หลังจากเลิกทานได้ 1-2 ชั่วโมงก็จะหิวอีก เพราะกระเพาะเหมือนลูกโป่ง เมื่อพองใหญ่ มื้อต่อไปถ้าจะกินให้อิ่ม ให้กินเท่ากับมื้อก่อนถึงจะอิ่ม แต่ถ้าลดอาหาร เปลี่ยนจากมื้อใหญ่มาเป็นมื้อย่อย ทานเป็นระยะ ก็จะผอม เนื่องจากร่างกายเผาผลาญอาหารได้หมด

- อาหารมื้อสำคัญสุดคือมื้อก่อนนอนเพราะจะทำให้มีแรงในยามเช้า อย่าเชื่อที่จะงดอาหารเย็น หรือมื้อค่ำ เพราะผู้ที่ทำเช่นนี้จะอ้วนลงพุงทุกคน สาเหตุมาจาก ขณะที่เราหลับ 8 ชั่วโมง ร่างกายไม่มีอาหาร แม้แต่น้ำ เพราะถ้าร่างกายขาดอาหาร ก็จะเครียด ทำให้ตื่นเช้าไม่ไหว ไม่อยากลุก และการทานอาหารมื้อเช้าหนักเกินไป จะทำให้อ้วนหนัก เพราะมื้อเที่ยง บ่าย เย็น ก็ทานอีก

- การนอนไม่ควรนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง และห้ามเกิน 8 ชั่วโมงเพราะจะทำให้ร่างการล้า เครียด และระบบภายในพัง

- พยายามนั่งถ่ายท้องทุกเช้า เพื่อสร้างสุขลักษณะที่ดี จะได้ไม่ทำให้ลำไส้ใหญ่เป็นที่ล้างท่อระบายน้ำ

- เลิกกินยาโรงพยาบาลทุกชนิด ที่ไม่ใช่สมุนไพร เนื่องจากมีสารตกค้างมาก เช่น พารา / ยาแก้อักเสบ หากจำเป็นควรเลิกใช้ก่อน 3 วัน ไม่เช่นนั้น จะติดยาเสพติดที่ใส่ในยานั้น เพราะยามีหน้าที่ระงับประสาท ไม่ได้เอาไว้รักษาให้หาย

- พยายามดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 ลิตรแนะนำนำน้ำขวดลิตรวางไว้ข้างคอมพิวเตอร์ จิบดื่มเป็นระยะ ทำให้สมองโล่ง ทำงานได้ดี

- สมการ การควบคุมน้ำหนัก = ควบคุมอาหาร 80% + ออกกำลังกายหนัก 20% การออกกำลังกายหนักหมายถึง การยกเวท หรือ วิ่งให้เหงื่อออก การซิตอัพ อยู่บ้าน ไม่ใช่การออกกำลังกายหนัก แต่เป็นการออกกำลังกายเบา เผาผลาญพลังงานได้เล็กน้อยเหมือนกับการถูบ้าน ล้างจาน เท่านั้น