อ้วนไม่อ้วนดูตรงไหนการประเมินตัวเองว่าอ้วนหรือไม่อ้วนดูได้จากไหน เราใช้มาตรฐาน 3 อย่างในการประเมินว่าอ้วนขนาดไหน
1. ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เป็นการประเมินน้ำหนักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อทำให้เรารู้ถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสมโดยใช้ความสูงและน้ำหนักเป็นเกณฆ์ในการพิจารณา
การหาค่าดัชนีมวลกาย
1. เปลี่ยนความสูงจาก เซนติเมตรให้เป็นเมตร เช่น 170 เซนติเมตร ความสูงเป็นเมตร 1.7
2. นำความสูงเป็นเมตรมายกกำลัง 2 เช่น 1.7x1.7 = 2.89
3. นำน้ำหนักตัวมาหารด้วยผลลัพธ์ส่วนสูงเป็นเมตรที่ยกกำลัง 2 แล้ว (จากข้อ 2)
เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ BMI = น้ำหนักตัว/ความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2
ดัชนีมวลกายแบ่งน้ำหนักเป็นระดับต่างๆดังนี้
น้อยกว่า 20 (19 สำหรับผู้หญิง) = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฆ์
20-24.99 = น้ำหนักอยู่ในเกณฆ์ปกติ
25-29.99 = น้ำหนักเกินพิกัด
30-34.99 = อ้วนระดับที่ 1
35-39.99 = อ้วนระดับที่ 2
40 หรือมากกว่า = อ้วนในระดับที่ก่อให้เกิดอันตราย
ดัชนีมวลกายสามารถประเมิณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันเนื่องจากน้ำหนักอย่างไร
น้ำหนัก = ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
น้อยกว่า 20.00 = ปานกลางไปจนถึงสูง
20.00-21.99 = ต่ำ
22.00-24.99 = ต่ำมาก
25.00-29.99 = ต่ำ
30.00-34.99 = ปานกลาง
35.00-39.99 = สูงมากกว่า
40.00 = สูงมาก
ปัญหาสุขภาพที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำหนักตัวที่สูงเกิน
คนที่ค่า BMI อยู่ที่ 34 หรือน้อยกว่านั้น นอกเหนือจากดัชนีมวลกายเส้นรอบเอวก็สามารถทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เช่นกัน ไขมันที่เก็บไว้ที่รอบๆช่องท้องและกระเพาะอาหารจำเป็นตัวกำหนดการเกิดโรคที่ชัดเจนกว่าไขมันที่เก็บไว้ที่ส่วนอื่น
เส้นรอบเอวที่ส่งผลดีต่อสุขภาพควรอยู่ที่ระดับใด
ผู้หญิง
เอวมากกว่า 31 นิ้ว (ประมาณ 80 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 35 นิ้ว (ประมาณ 90 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
ผู้ชาย
เอวมากกว่า 37 นิ้ว (ประมาณ 94 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 40 นิ้ว (ประมาณ 102 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
3.ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วน
นอกจากดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วนอื่นๆอีกด้วย ดังนี้
1. ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เป็นการประเมินน้ำหนักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อทำให้เรารู้ถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสมโดยใช้ความสูงและน้ำหนักเป็นเกณฆ์ในการพิจารณา
การหาค่าดัชนีมวลกาย
1. เปลี่ยนความสูงจาก เซนติเมตรให้เป็นเมตร เช่น 170 เซนติเมตร ความสูงเป็นเมตร 1.7
2. นำความสูงเป็นเมตรมายกกำลัง 2 เช่น 1.7x1.7 = 2.89
3. นำน้ำหนักตัวมาหารด้วยผลลัพธ์ส่วนสูงเป็นเมตรที่ยกกำลัง 2 แล้ว (จากข้อ 2)
เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ BMI = น้ำหนักตัว/ความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2
ดัชนีมวลกายแบ่งน้ำหนักเป็นระดับต่างๆดังนี้
น้อยกว่า 20 (19 สำหรับผู้หญิง) = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฆ์
20-24.99 = น้ำหนักอยู่ในเกณฆ์ปกติ
25-29.99 = น้ำหนักเกินพิกัด
30-34.99 = อ้วนระดับที่ 1
35-39.99 = อ้วนระดับที่ 2
40 หรือมากกว่า = อ้วนในระดับที่ก่อให้เกิดอันตราย
ดัชนีมวลกายสามารถประเมิณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันเนื่องจากน้ำหนักอย่างไร
น้ำหนัก = ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
น้อยกว่า 20.00 = ปานกลางไปจนถึงสูง
20.00-21.99 = ต่ำ
22.00-24.99 = ต่ำมาก
25.00-29.99 = ต่ำ
30.00-34.99 = ปานกลาง
35.00-39.99 = สูงมากกว่า
40.00 = สูงมาก
ปัญหาสุขภาพที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำหนักตัวที่สูงเกิน
- ความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ
- เส้นเลือดในสมองอุดตัน
- ความไม่สมดุลของระบบเผาผลาญไขมัน
- อาการต้านอินซูลิน
- เบาหวานชนิดที่ 2
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- โรคข้อเสื่อม
- อาหารไหลย้อนกลับ
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
คนที่ค่า BMI อยู่ที่ 34 หรือน้อยกว่านั้น นอกเหนือจากดัชนีมวลกายเส้นรอบเอวก็สามารถทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เช่นกัน ไขมันที่เก็บไว้ที่รอบๆช่องท้องและกระเพาะอาหารจำเป็นตัวกำหนดการเกิดโรคที่ชัดเจนกว่าไขมันที่เก็บไว้ที่ส่วนอื่น
เส้นรอบเอวที่ส่งผลดีต่อสุขภาพควรอยู่ที่ระดับใด
ผู้หญิง
เอวมากกว่า 31 นิ้ว (ประมาณ 80 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 35 นิ้ว (ประมาณ 90 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
ผู้ชาย
เอวมากกว่า 37 นิ้ว (ประมาณ 94 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 40 นิ้ว (ประมาณ 102 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น
3.ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วน
นอกจากดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วนอื่นๆอีกด้วย ดังนี้
- ความดันโลหิต
- สูงคอเลสเตอรอล LDL สูง (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี)
- คอเลสเตอรอล HDL ต่ำ (คอเลสเตอรอลชนิดดี)
- ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- ครอบครัวมีประวัติเกิดโรคหัวใจ
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่
No comments:
Post a Comment