31 July, 2009

เคล็ดลับบำรุงข้อศอกและหัวเข่าด้วยน้ำผึ้ง


บำรุงข้อศอกและหัวเข่าด้วยน้ำผึ้ง
คุณควรจะดูแลใส่ใจบำรุงผิวพรรณช่วงบริเวณ
ข้อศอกของทั้ง 2 แขน และบริเวณ หัวเข่าทั้ง 2 เป็นประจำ
เพื่อให้ผิวพรรณบริเวณนั้นนุ่มนวลไม่แห้งกร้าน หรือ
ดูหยาบกร้านไม่น่ามอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฤดูหนาว หรือคุณที่ต้องทำงานอยู่ใน
ห้องแอร์ ก็ควรจะบำรุงข้อศอกและหัวเข่าเนื่องจากจะเป็นจุดที่มีความกร้าน และมีรอย
คล้ำจะเห็นได้ชัดกว่าผิวพรรณส่วนอื่นๆ การเตรียมและขั้นการก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้


ขั้นตอนการทำ
1. เตรียมน้ำผึ้งแท้บริสุทธิ์ประมาณ 4-7 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปอุ่น
บนเตาให้น้ำผึ้งอุ่นๆ กำลังดี อย่าต้มจนเดือดหรือร้อนจนเกินไป
2. ล้างมือให้สะอาดสะอ้าน ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งอุ่นๆ นั้นมาทา
ถูให้ทั่วๆ ข้อศอกทั้ง 2 ข้างและหัวเข่าทั้ง 2
3. ขณะที่ใช้ปลายนิ้วทาน้ำผึ้งไปทั่วๆ ข้อศอก และที่หัวเข่านั้นใหh
กดปลายนิ้วคลึงเคล้น บนผิวหนังบริเวณนั้นแรงๆ พอสมควร
4. เมื่อใช้น้ำผึ้งให้หมดจากประมาณที่เตรียมไว้แล้วนั้น พอกทิ้งไว้
นานประมาณสัก 1/2 ชัวโมง จึงค่อยทำความสะอาดออกด้วยน้ำอุ่นๆ
กับ สบู่




เพียงเท่านี้คุณก็จะมี ผิวพรรณบริเวณเข่าและข้อศอกที่นุ่มเนียนไม่หยาบกร้าน

30 July, 2009

สูตรบำรุงเล็บด้วยมะนาว


สูตรบำรุงเล็บด้วยมะนาว
นอกจากผิวพรรณมีความงดงามนุ่มเนียน ผุดผ่อง ไม่หยาบ
กร้าน หรือไม่เป็นมันเยิ้มจนเกินไป และไม่แตกเป็นขุยๆ แล้วนั้น
เล็บเท้าก็ควรที่จะได้รับการบำรุงดูแลอย่างดีด้วย
นอกจากการเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างเล็บทำการตัดหนังขัดเล็บ
และทาสีเล็บ เป็นสีต่างๆ สดสวยแล้วนั้น การบำรุงที่แท้จริงและถูก
ต้องก็คือการบำรุงให้วิตามินแก่เล็บเท้าให้มีความทนทานแข็งแรงไม่
แตกหักง่ายและมีความเป็นเงางามแม้จะไม่ได้ทาสีเคลือบเล็บแต่อย่างใด
สุขภาพของเล็บที่ดีคือเจ็บที่แข็งแรงมีความเป็นเงางาม ไม่
เปื่อยยุ่ยหรือแตกหักง่ายและไม่ดู แข็งกร้าวเปราะแตกง่าย
คุณควรบำรุงนิ้วเท้าและเล็บเท้าทุกๆสัปดาห์ในวันหยุดสัปดาห์ละ
1ครั้ง แล้วคุณจะเห็นผลที่เปลี่ยนไปในทางดีได้อย่างชัดเจน
และน่าพอใจอย่างยิ่ง

ขั้นตอนการทำ
1. เตรียมน้ำอุ่นและแช่เท้าของคุณในน้ำอุ่นในอ่างเล็กๆ
ประมาณ 2-3 นาที
2.ใช้เผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับน้ำบนเท้าให้แห้งสนิท
3. เตรียมมะนาวสักเสี้ยวใหญ่ๆ หรือ 1-2 ลูก ไม่ต้องบีบน้ำออก
4. ใช้มะนาวนั้นถูๆ ทาให้ทั่วนิ้วเท้า และช่วงเล็บ ทั้ง 10 นิ้วเท้า
ให้ทาถูจนกว่าน้ำมะนาวจะหมดไป จากนั้นยังคงใช้เปลือก
มะนาวที่หมดน้ำแล้ว หรือยังชุ่มน้ำอยู่เล็กน้อยถูๆ ทาๆ ขัดนิ้วเท้า
และเล็บให้ทั่วๆ
สำหรับสูตรบำรุงเล็บ และนิวเท้านี้จะต้องทำในช่วงที่นิ้ว
เท้า และผิวหนังในบริเวณนั้นไม่มีบาดแผลใดๆ ที่จะทำให้เกิดการ
แสบจากฤทธิ์ของน้ำมะนาวได้
5. เมื่อขัดถูเล็บเท้าทั้ง 10 แล้วให้ปล่อยทิ้งนานสัก 15 นาทีค่อยชำระล้างทำความสะอาดออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล

29 July, 2009

เคล็ดลับใบหน้านุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้ง


นุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้งถ้าคุณสนใจที่จะดูแลสุภาพอย่างจริงจัง ควรซื้อน้ำผึ้งแท้สักขวดไว้ติดบ้าน เนื่องจากน้ำผึ้งมีคุณค่าต่อร่างกายอย่างมหาศาล ทั้งรับประทานและบำรุงผิวพรรณ น้ำผึ้งจะช่วยลบริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าอย่างมหัศจรรย์ ริ้วรอยจะค่อยๆ จางไป ความเต่งตึงชุ่มชื้นจะมีมากขึ้น เนียนใส คุณควรถนอมผิวด้วยน้ำผึ้งทุกๆ 3 วัน

อุปกรณ์
1. น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ
2.โถเคลือบหรือภาชนะใดก็ได้ที่ทนไฟ
3. หมวกคลุมผมหรือที่คาดผม

ขั้นตอน
1. ล้างหน้าของคุณให้สะอาดสะอ้านถ้าจะให้ดีควรลงทุนต้มน้ำร้อนสักหน่อย พอน้ำอุ่นแล้ว ใช้น้ำอุ่น ล้างหน้าชำระคราบ ฝุ่นละอองบนใบหน้าของคุณให้สะอาดด้วยสบู่ หรือโฟมล้างหน้า
2. เมื่อทำความสะอาดใบหน้าจนรู้สึกสะอาดดีแล้ว ใช้ผ้าขนหนูซับหน้าให้แห้งใช้ที่คาดผม คาดผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อที่เส้นผมจะได้ไม่ ลงมาปรกหน้า หรือจะใช้หมวกพลาสติกสำหรับอาบน้ำ คลุมเส้นผมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อความสะดวก
3.นำน้ำผึ้งใส่ในโถเคลือบใบเล็กๆ หรือภาชนะใดก็ได้ที่สามารถทนไฟได้แล้วนำน้ำผึ้งไปอุ่นบนเตา ไม่ต้องให้ร้อนมาก เพียงแค่อุ่นๆ ก็ใช้ได้แล้ว
4.ล้างมือของให้สะอาด ใช้ปลายนิ้วชี้ และนิ้วกลางแตะน้ำผึ้งทาบนใบหน้าเริ่มที่หน้าผากเป็นจุดแรก ขณะทาให้ทั่วหน้าผาก ปลายนิ้วควรคลึงเบาๆ ไปบนผิวหน้าผากด้วยจากนั้นเริ่มที่ช่วงแก้มข้างซ้ายมาที่แก้มข้างขวา จุดต่อไปคือสันจมูกเหนือริมฝีปากและมาที่บริเวณคางในที่สุดขณะที่ทาน้ำผึ้งไปทั่วๆ ใบหน้าของคุณนั้นอย่าลืมว่าปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางควรจะคลึงเคล้นเบาๆ นวดใบหน้าของคุณไปด้วยเมื่อทาน้ำผึ้งจนหมดแล้วนอนหลับตาสบายๆ นาน 40 นาทีจึงค่อยทำความสะอาดชำระล้างน้ำผึ้งออกจากใบหน้าด้วยน้ำอุ่น โฟมล้างหน้า หรือสบู่ให้สะอาดสะอ้าน
เพียงเท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะเกลี้ยงเกลา นุ่มละมุน โดยไม่ต้องอาศัย ผลิตภัณฑ์แพงๆตามท้องตลาดเลย

21 July, 2009

เคล็ดลับลดหน้ามัน ด้วยดินสอพอง


เคล็ดลับลดหน้ามัน ด้วยดินสอพองสำหรับท่านที่มีปัญหาหน้ามันและสิวเสี้ยนหรือจุดด่างดำ ใช้สูตรนี้รับรองหน้าจะนวลเนียนผุดผ่อง ทำได้ง่ายๆที่บ้านไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอาง ราคาแพงแต่อย่างใด


อุปกรณ์ที่ใช้

1.ดินสอพอง 2-3 เม็ด

2.มะนาว 1 ซีก

3.ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผม

4.ถ้วยหรืออ่างใบเล็ก


ขั้นตอนการทำ

1. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น กับโฟมล้างหน้าหรือสบู่ แล้วซับหน้าเบาๆด้วยผ้าขนหนูให้หน้าแห้ง

2. ใส่ดินสอพองในถ้วยหรืออ่างใบเล็กแล้วใช้มือบี้ดินสอพองให้ละเอียด จากนั้นบีบน้ำมะนาว 1 ซีกลงไปแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันดี

3. ใช้นิ้วมือแตะดินสอพองมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณดวงตาและริมฝีปาก

4. พักใบหน้าไว้ ห้ามขยับใบหน้า ประมาณ 15 นาที

5. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ให้สะอาด


ทำเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา ประมาณ 1 เดือน จะเห็นผลใบหน้าจะไม่มันผิวจะขาวนวลเนียนผุดผ่อง เกลี้ยงเกลา

13 July, 2009

สูตรลับหน้าขาวใสไร้สิวด้วยมะนาว


สูตรลับหน้าขาวใสไร้สิวด้วยมะนาวสูตรง่ายๆที่ใครก็สามารถทำได้ด้วยมะนาวที่ทุกๆบ้านต้องมีติดไว้ สูตรหน้าขาวที่ไม่เป็นอันตรายเพราะเป็นสูตรจากธรรมชาติแท้ 100 %


ส่วนประกอบ

1. มะนาว 1 ลูก

2. มีด

3. ถ้วยใบเล็กๆหรืออ่างใบเล็กๆ

4. ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผม


ขั้นตอนการทำ

ต้มน้ำให้อุ่นๆไม่ร้อนเกินไปล้างมะนาวให้สะอาด ผ่ามะนาวออกเป็นซีกๆ แกะเมล็ดออกให้หมด บีบน้ำมะนาวใส่ถ้วยไว้ เปลือกเก็บไว้ไม่ต้องทิ้ง ล้างหน้าให้สะอาด ด้วยน้ำอุ่นที่เตรียมไว้กับสบู่หรือโฟมล้างหน้า แล้วซับหน้าให้สะอาดและแห้งสนิท หลังจากนั้นใช้เปลือกมะนาวชุบน้ำมะนาวเช็ดให้ทั่ว ไล่จากหน้าผากแล้วไปที่แก้มทั้ง 2 ข้าง จมูกและคาง อย่าถูกแรง ควรถูกคลึงเบาๆให้ทั่วทั้งใบหน้า เปลี่ยนเปลือกมะนาวบ้างก็ได้เช็ดถูจนน้ำมะนาวหมดแก้ว เสร็จแล้วพักหน้าทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง อาจจะหลับพักสายตา หรือนั่งอ่านหนังสือ ทำงานบ้าน แล้วแต่สะดวก หากมีเวลาว่างอาจจะพักหน้าหลายๆชั่วโมงก็ได้ แล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้าจนสะอาด หากคุณทำเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งผิวหน้าของคุณจะขาวใสเรียบเนียน ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงตามท้องตลาดให้เปลืองตังค์เลย ง่ายๆเพียงเท่านี้คุณก็ทำได้ง่ายๆที่บ้าน

12 July, 2009

สูตรไอศครีมโยเกิร์ตเพื่อผิวสวย



สูตรไอศครีมโยเกิร์ตเพื่อผิวสวย

ไอศครีมเป็นของหวานกินเล่นที่ใครๆก็ชอบ ลองมาเพิ่มคุณค่าของไอศครีมด้วยการดัดแปลงใช้โยเกิร์ตทำไอศรีม ทำกินเล่นเองที่บ้านได้ง่ายสบายๆและมีคุณค่าต่อผิวพรรณกันดูเถอะ

ส่วนประกอบ

1.โยเกิร์ตชนิดดื่มรสธรรมชาติชนิดพร่องไขมัน 2 ถ้วยตวง

2.สับปะรดหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ

3.น้ำตาลทรายแดง 1/2 ช้อนโต๊ะ

4.มะละกอหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ

5.องุ่นปอกเปลือกแกะเมล็ดผ่าซีก 1 ช้อนโต๊ะ

6.แอปเปิ้ลไม่ปอกเปลือกหั่นลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ

7.ส้มแกะเม็ดหั่นครึ่งกลีบเอาเม็ดออก 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำ

ละลายน้ำตาลทรายในโยเกิร์ต เมื่อน้ำตาลละลายดีแล้ว นำผลไม้ทุกชนิดที่เตรียมไว้ใส่ลงไป แล้วคนให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะ ถ้วยหรือแก้วสวยๆ นำเข้าช่องฟรีซ จนโยเกิร์ตกลายเป็นเนื้อไอศครีมนำออกมาทานได้ หากดัดแปลงโดยใช้โยเกิร์ตชนิดหวานไม่ต้องเติมน้ำตาลเพิ่ม โยเกิร์ตช่วยให้ระบบขับถ่ายดีเพราะมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุทดลองทำทานกันดูได้ เพื่อสุขภาพผิวที่สวย

10 July, 2009

อ้วนไม่อ้วนดูตรงไหน


อ้วนไม่อ้วนดูตรงไหนการประเมินตัวเองว่าอ้วนหรือไม่อ้วนดูได้จากไหน เราใช้มาตรฐาน 3 อย่างในการประเมินว่าอ้วนขนาดไหน
1. ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เป็นการประเมินน้ำหนักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อทำให้เรารู้ถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสมโดยใช้ความสูงและน้ำหนักเป็นเกณฆ์ในการพิจารณา

การหาค่าดัชนีมวลกาย
1. เปลี่ยนความสูงจาก เซนติเมตรให้เป็นเมตร เช่น 170 เซนติเมตร ความสูงเป็นเมตร 1.7
2. นำความสูงเป็นเมตรมายกกำลัง 2 เช่น 1.7x1.7 = 2.89
3. นำน้ำหนักตัวมาหารด้วยผลลัพธ์ส่วนสูงเป็นเมตรที่ยกกำลัง 2 แล้ว (จากข้อ 2)

เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ BMI = น้ำหนักตัว/ความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2

ดัชนีมวลกายแบ่งน้ำหนักเป็นระดับต่างๆดังนี้

น้อยกว่า 20 (19 สำหรับผู้หญิง) = น้ำหนักต่ำกว่าเกณฆ์
20-24.99 = น้ำหนักอยู่ในเกณฆ์ปกติ
25-29.99 = น้ำหนักเกินพิกัด
30-34.99 = อ้วนระดับที่ 1
35-39.99 = อ้วนระดับที่ 2
40 หรือมากกว่า = อ้วนในระดับที่ก่อให้เกิดอันตราย

ดัชนีมวลกายสามารถประเมิณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันเนื่องจากน้ำหนักอย่างไร

น้ำหนัก = ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
น้อยกว่า 20.00 = ปานกลางไปจนถึงสูง
20.00-21.99 = ต่ำ
22.00-24.99 = ต่ำมาก
25.00-29.99 = ต่ำ
30.00-34.99 = ปานกลาง
35.00-39.99 = สูงมากกว่า
40.00 = สูงมาก

ปัญหาสุขภาพที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำหนักตัวที่สูงเกิน


  • ความดันโลหิตสูง

  • โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ

  • เส้นเลือดในสมองอุดตัน

  • ความไม่สมดุลของระบบเผาผลาญไขมัน

  • อาการต้านอินซูลิน

  • เบาหวานชนิดที่ 2

  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

  • โรคข้อเสื่อม

  • อาหารไหลย้อนกลับ

  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
2.ความยาวของเส้นรอบเอว
คนที่ค่า BMI อยู่ที่ 34 หรือน้อยกว่านั้น นอกเหนือจากดัชนีมวลกายเส้นรอบเอวก็สามารถทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคได้เช่นกัน ไขมันที่เก็บไว้ที่รอบๆช่องท้องและกระเพาะอาหารจำเป็นตัวกำหนดการเกิดโรคที่ชัดเจนกว่าไขมันที่เก็บไว้ที่ส่วนอื่น

เส้นรอบเอวที่ส่งผลดีต่อสุขภาพควรอยู่ที่ระดับใด

ผู้หญิง
เอวมากกว่า 31 นิ้ว (ประมาณ 80 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 35 นิ้ว (ประมาณ 90 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น

ผู้ชาย
เอวมากกว่า 37 นิ้ว (ประมาณ 94 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่ไม่รุนแรง
เอวมากกว่า 40 นิ้ว (ประมาณ 102 เซนติเมตร)แสดงถึงความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มมากขึ้น

3.ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วน
นอกจากดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความอ้วนอื่นๆอีกด้วย ดังนี้


  • ความดันโลหิต

  • สูงคอเลสเตอรอล LDL สูง (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี)

  • คอเลสเตอรอล HDL ต่ำ (คอเลสเตอรอลชนิดดี)

  • ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง

  • ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

  • ครอบครัวมีประวัติเกิดโรคหัวใจ

  • ไม่ค่อยออกกำลังกาย

  • สูบบุหรี่


09 July, 2009

มารู้จักอนุมูลอิสระ กันเถอะ


มาทำความรู้จักกับอนุมูลอิสระ กันเถอะ อนุมูลอิสระคือ โมเลกุลออกซิเจนที่ขาดอิเล็กตรอนไป 1 ตัว โดยปกติแล้วโมเลกุลออกซิเจนจะอยู่กันเป็นคู่ๆเมื่อขาด อิเล็คตรอนไป 1 ตัวทำให้ตัวเองมีประจุกลายเป็นลบจึงทำปฏิกิริยากับ โมเลกุลอื่นๆ เพื่อแย่งอิเล็คตรอนกับเมโลกุลอื่น เมื่อตัวที่ถูกแย่งโมเลกุลกลายเป็นลบ ก็ต้องแย่งโมเลกุลกันต่อไปเป็นทอดๆเหมือนโดมิโน สาเหตุที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระคือการใช้ออกซิเจนของร่างกายนั่นเองรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องด้วยนั่นเอง ทำให้อนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายของเราเอง เกิดความเสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดการแก่ก่อนวัย และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั่นเอง
อนุมูลอิสระจะมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน
1.ไฮดรอดซิล เรดิคอล
เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อร่างกายเรามากที่สุด ทำให้เกิดการเสื่อมของร่างกายเรา ทำให้เกิดโรคมะเร็ง
2.ซิงเลต ออกซิเจน
จัดเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นตัวทำลายความสวยงามของผู้หญิงได้เป็นอย่างมากเพราะทำให้เกิดโรคร้ายต่อผิวหนังอย่างมะเร็งผิวหนัง อนุมูลอิสระชนิดนี้เกิดจากร่างกายได้รับแสง UV และรังสี X ทำให้เกิดออกซิเดชั่นอย่างรุนแรง
3.ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
เป็นอนุมูลอิสระที่ไม่เสถียรอย่างมาก จะปล่อยอิเล็คตรอน ออกมาและมีพิษอย่างรุนแรง แต่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์โดยทำเป็นยาฆ่าเชื้อโรคและน้ำยาซักผ้าขาวได้
4.ซูเปอร์ออกไซด์
เป็นอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในร่างกายเรา เพราะเกิดจากการออกซิเจนของร่างกายเรานั่นเอง จึงทำให้เกิดการออกซิเดชั่นขึ้น และทำร้ายร่างกายของเราไปเรื่อยๆทำให้เสื่อมโทรมนั่นเอง
การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์นั้นนอกจากร่างกายที่แข็งแรงแล้วยังทำให้ผิวพรรณ ของคุณเปล่งปลั่งและยังสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย นอกจากนี้คุณต้องเลิกสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เพื่อห่างไกลจากอนุมูลอิสระที่คอยทำร้ายร่างกายของคุณ

03 July, 2009

สูตรทำใบหน้านุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้ง


สูตรทำใบหน้านุ่มละมุนด้วยน้ำผึ้ง
อุปกรณ์ที่ใช้

1.น้ำผึ้งแท้

2.ช้อน

3.โถเคลือบหรือภาชนะที่ทนไฟ

4.ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผม

วิธีทำ

1.ล้างหน้าให้สะอาดอาจจะล้างด้วยน้ำอุ่นๆจะดีที่สุด

2.ใช้ผ้าขนหนุซับหน้าให้แห้ง

3.ใช้ที่คาดผมหรือหมวกคลุมผมเก็บให้เรียบร้อย

4.ใส่น้ำผึ้งลงในโถเคลือบหรือภาชนะทนไฟนำไปอุ่นบนเตา ไม่ต้องร้อนเอาแค่อุ่นๆ

5.ใช้มือที่สะอาด โดยใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางแตะน้ำผึ้งี่อุ่น ทาลงบนผิวหน้าโดยเริ่มจากหน้าผากก่อน ทาให้ทั่วหน้าผากใช้ปลายนิ้วเกลี่ยคลึงเบา จากนั้นทาที่แก้มซ้าย-ขวาไล่ไปที่จมูก ริมฝีปากและคาง โดยทำเช่นเดียวกับที่หน้าผากคือ ใช้ปลายนิ้วคลึงๆเบาๆ เสร็จแล้วพักหน้าไว้สัก 40 นาที

6.ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นหรือ โฟมล้างหน้าจนใบหน้าสะอาดน้ำผึ้งจะช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณ นุ่มนวล ควรทำเป็นประจำเพื่อผิวที่นุ่มชุ่มชื่น และสุขภาพผิวที่ดี

02 July, 2009

สูตรล้างพิษ 1 วัน


สูตรล้างพิษ 1 วัน หรือการทำดีท็อกซ์ เป็นสูตรล้างพิษที่สามารถทำใช้ได้เองที่บ้านง่ายๆ คุณก็สามารถทำได้เอง ทดลองทำตามได้ เพื่อขจัดสารพิษที่ตกค้างสะสมมานานในร่างกายของคุณ เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีของคุณคืนกลับมา
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลแคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ตับจะขับสารพิษออกมาและ อาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด


ขั้นตอนการปฏิบัติ


1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2อย่างคือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี สูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้า เลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ(มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอ กับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยๆ ที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาว ลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็ก ส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษ ถูกขับออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้า ไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษไม่ได้ผล

อุปกรณ์ที่ต้องใช้

1.ขวดใส่น้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด

2.มะนาว 4 ลูก

3.เกลือป่น 2ช้อนชา (ห้ามใช้เกลือไอโอดีน)

วิธีทำ

ใส่น้ำให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก เกลือ 1 ช้อนชา เขย่า ให้เข้ากัน
มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูด ซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระหลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น คือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
ควรทำเป็นประจำ 2 อาทิตย์/หนึ่งครั้ง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

01 July, 2009

ลดน้ำหนัก สูตรพระเทพ

ลดน้ำหนัก สูตรพระเทพ
สูตรนี้เป็นสูตรพระราชทาน ที่ใครๆหลายๆคนการันตี ว่าทำแล้วได้ผล เป็นสูตรที่โด่งดังมาก ทดลองทำตามดูได้ เพราะไม่ยุ่งยากอะไร

วันแรกเช้า
- เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
-กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
-เย็น สลัดผัก

วันที่ 2
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
-เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 3
-เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
-กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
-เย็น สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่ 4
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟและขนมปัง 1 แผ่น
-กลางวัน สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
-เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 5
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
-เย็น สลัดผัก

วันที่ 6
-เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
-กลางวัน ปลานึ่ง หรือ ปลาเผาไม่จำกัด
-เย็น นมสด 1 แก้ว

วันที่ 7
-เช้า ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1 ฟอง
-กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (เนื้อ, หมู)
-เย็น สับปะรด 1 ชิ้น

ใครทำตามแล้ว ลดน้ำหนักได้ผลยังไงก็บอกต่อๆกันไปด้วยนะ